วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555
ความเอ๋ยความสุข:กับการพัฒนาชีวิต(ตอนที่๑)
ความเอ๋ยความสุข
ใครๆทุกคนชอบเจ้าเฝ้าวิ่งหา
แกก็สุขฉันก็สุขทุกเวลา
แต่ดูหน้าตาแห้งยังแคลงใจ
ถ้าเราเผาตัวหาก็น่าจะสุข
ถ้ามันเผาเราก็สุขหรือเกรียมได้
เขาว่าสุข สุขเน้อ อย่าเห่อไป
มันสุขเย็นหรือสุขไหม้ให้แน่เอย—ฯ
หลวงพ่อพุทธทาสได้ประพันธ์บทกลอนนี้ไว้ท่านได้จำแนกแยกความสุขออกเป็นสุขเย็นกับสุขไหม้ถ้าสุขเย็นก็คือนิพพาน ว่างจากกิเลส สุขไหม้ก็คือไฟกิเลสถูกไฟกิเลสเผา
ความสุขของคนเรามีหลายแบบใครที่สามรถขวนขวายสนองตอบความต้องการได้อย่างนี้ก็เป็นความสุข
-สุขทุกข์อยู่ที่ใจมิใช่หรือ
เมื่อพูดถึงความสุขธรรมดาๆของคนเราจึงไม่สามารถเจาะจงลงไปเลยว่าสิ่งนี้เป็นสุขที่มากพอแล้ว อย่างนี้เป็นความสุขที่สุดยอดไปเลยเพราะเราต้องการมันเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆพูดอีกทีก็คือไม่รู้จักพอนั่นเอง
ความสุขเป็นสิ่งทีอันใครๆต้องการมีเยอะแยะมากมายบางทีบางสถานการณ์เราก็ต้องการความสุขอีกแบบ บางทีอย่างที่เป็นอยู่ก็เหมือนว่าจะดีทีแรกก็คิดว่าดีพอมาเป็นมาได้ทำไปทำมาไม่นานก็เกิดเบื่อขึ้นมาเสียนี่อย่างนี้ก็มี
ทีแรกก็นึกว่าเป็นนักเรียนไม่ดีอยากเรียนให้จบจะได้มาทำงาน พอได้มาทำงานทำไมมันยุ่งยากอะไรอย่างนี้เจ้านายก็ดุ งานก็หนัก ค่าห้องมาแล้วความสุขหดหาย
เรามักจะพูดกันเสมอๆว่าคนเรามีความสุขแล้วก็มีความทุกข์ ชีวิตคนเรามีสุขก็มีเศร้าปะปนกันไป ในดีมีชั่วในชั่วก็อาจจะมีดีอาการอย่างนี้ภาษาพระเรียกว่า “อัสสาทะ” สุข “อาทีนวะ”ทุกข์ มีสภาวะสุขๆทุกข์ๆเบื่อๆอยากๆอยู่อย่างนี้
สำหรับชาวพุทธเรารู้จักโลกธรรมกับคำว่านิพพานกันมากเพราะใช้กันอยู่ทั่วไปโลกธรรมก็คือของธรรมดาๆประจำโลกนิพพานก็คือบรมสุข “นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ” (ในที่นี้พูดถึงนิพพานในลักษณะของความสุข)มองตามหลักพระพุทธศาสนาความสุขที่พุทธศาสนิกชนมุ่งหาคือนิพพานเพราะเป็นที่ดับทุกข์ได้
ก่อนที่เราจะว่ากันในเรื่องของความสุขขอให้เราตรวจดูความทุกข์ที่มีให้เต็มตาก่อนเลยว่าอะไรคือตัวทุกข์อะไรเป็นเหตุทุกข์ สิ่งไหนที่ทำแล้วว่ามีความสุขแต่มีทุกข์ปนอยู่หรือได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจภายหลังจัดเป็นสุขไม่แท้และก่อนที่จะไปว่านิพพานเป็นบรมสุขคือสุขอย่างยิ่งก็ต้องเข้าใจว่าความสุขมีอยู่หลายขั้นด้วยกันเริ่มตั้งแต่ความสุขระดับหยาบไปหาความสุขขั้นละเอียด
-สุขจากกาม
การเสพการนี้เป็นความสุขเบื้องต้นของทุกสภาพชีวิตนะเราเสพเข้าทางตา หู จมูก ลิ้น กาน ใจรับรู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะท่านเรียกว่าอายตนะ(แดนรับรู้หรือแดนเสวยโลก)พูดอีกแง่คือโลกทั้งโลกอยู่ตรงนี้นั่นเอง ที่ภาษาท่านว่า “สวรรค์ในอก นรกในใจ”ก็มาจากตรงนี้อายตนะเป็นแดนรับรู้แดนเสวยอารมณ์สุข-ทุกข์ไหลเข้าออกผ่านอายตนะนี้
ปัจจัย๔ทั้งหลายที่เราพิจารณากันว่า ปะฏิสังขาโยฯลฯก็คือเราบริโภคกามนี้เข้าไปแต่ที่ท่านให้พิจารณาด้วยการตรึกนึกให้แยบคายลงไปว่าปัจจัยนี้เพื่ออะไร ตั้งอยู่เพื่ออะไร บริโภคเพื่ออะไรพิจารณาทุกครั้งก็เพื่อไม่ให้เสพกามโดยไม่หลงติด
กิน กาม เกียรติ
ธรรมดาคนเรานั้นก็อยู่กับกามมันมีความสุขไหมตอบได้ชัดเจนเลยว่ามีความสุข สุขอย่างไรเมื่อเราต้องการเราก็กระทำการตอบสนองความต้องการหรือที่เรียกว่าสนองตัณหา(ความอยาก)เมื่อได้รับตอบสนองอารมณ์ตัณหาแล้วก็มีความสุข ทีนี้ก็พิจารณาลงไปอีกติดกันไหมก็ตอบได้อีกว่าติด พระท่านจึงเรียกว่ามันเป็นบ่วง คนเราก็จะพยายามตอบสนองความต้องการของตัวเองให้มากขึ้นเพิ่มขึ้นก็ยิ่งจะมีสุขมาก ถามต่อไปอีกว่ากามคุณเป็นสุขที่ยั่งยืนไหม(ตอบเองว่าไม่ใช่)เพราะมันมีเสื่อมบางทีก็รูป เสียง กลิ่น รส นั่นแหละนำทุกข์มาให้อีก พูดมาถึงตรงนี้ชีวิตมนุษย์ก็จบนะสิ ก็เพราะมันมีสุขมีทุกข์อย่างนี้นี่เองพระพุทธเจ้าจึงแสวงหาทางพ้นทุกข์ เพราะเรื่องสุข-ทุกข์ของคนมันไม่จบพระพุทธเจ้าท่านก็หาทางออกให้ นอกจากจะมีปัญญารู้เห็นทุกข์แล้วต้องมีปัญญาละทุกข์ วางทุกข์ด้วย
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น