subhadravadi
วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555
พลังทั้ง๔
๑.ปัญญาพะละ จนอะไรก็อย่าจนแต่อย่าจนปัญญาคนเรานั้นมีปัญญาไว้สอนตัวเอง
๒.วิริยะพะละ คนมีความเพียรนี้เป็นคนที่มีพลังมากอย่างเรื่องในชาดกนกกระจาบจะวิดน้ำในมหาสมุทรเพื่อตามหาลูกที่ตกลงไปในน้ำนกกระจาบตัวเล็กๆแต่มีความเพียรที่จะวิดน้ำในมหาสมุทรให้แห้งจร้อนถึงพระอินทร์
๓.อนวัชชะพะละ ความสุจริตอันนี้เป็นตัวสำคัญความสุจริตเป็นกำลังมือสะอาดนั่นเองถ้าเรามีความสุจริตก็ไม่หวั่นไหวใครจะว่ามั่นใจ ทำงานได้เต็มที่ ต้องเตรียมตัวไว้แต่ต้นเลย
๔.สังคหพลัง การช่วยเหลือกันการทำประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่นเรียกว่าการสงเคาระห์นั่นเอง
สุภัทรวาที
วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555
ความเอ๋ยความสุข:กับการพัฒนาชีวิต(ตอนที่๑)
ความเอ๋ยความสุข
ใครๆทุกคนชอบเจ้าเฝ้าวิ่งหา
แกก็สุขฉันก็สุขทุกเวลา
แต่ดูหน้าตาแห้งยังแคลงใจ
ถ้าเราเผาตัวหาก็น่าจะสุข
ถ้ามันเผาเราก็สุขหรือเกรียมได้
เขาว่าสุข สุขเน้อ อย่าเห่อไป
มันสุขเย็นหรือสุขไหม้ให้แน่เอย—ฯ
หลวงพ่อพุทธทาสได้ประพันธ์บทกลอนนี้ไว้ท่านได้จำแนกแยกความสุขออกเป็นสุขเย็นกับสุขไหม้ถ้าสุขเย็นก็คือนิพพาน ว่างจากกิเลส สุขไหม้ก็คือไฟกิเลสถูกไฟกิเลสเผา
ความสุขของคนเรามีหลายแบบใครที่สามรถขวนขวายสนองตอบความต้องการได้อย่างนี้ก็เป็นความสุข
-สุขทุกข์อยู่ที่ใจมิใช่หรือ
เมื่อพูดถึงความสุขธรรมดาๆของคนเราจึงไม่สามารถเจาะจงลงไปเลยว่าสิ่งนี้เป็นสุขที่มากพอแล้ว อย่างนี้เป็นความสุขที่สุดยอดไปเลยเพราะเราต้องการมันเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆพูดอีกทีก็คือไม่รู้จักพอนั่นเอง
ความสุขเป็นสิ่งทีอันใครๆต้องการมีเยอะแยะมากมายบางทีบางสถานการณ์เราก็ต้องการความสุขอีกแบบ บางทีอย่างที่เป็นอยู่ก็เหมือนว่าจะดีทีแรกก็คิดว่าดีพอมาเป็นมาได้ทำไปทำมาไม่นานก็เกิดเบื่อขึ้นมาเสียนี่อย่างนี้ก็มี
ทีแรกก็นึกว่าเป็นนักเรียนไม่ดีอยากเรียนให้จบจะได้มาทำงาน พอได้มาทำงานทำไมมันยุ่งยากอะไรอย่างนี้เจ้านายก็ดุ งานก็หนัก ค่าห้องมาแล้วความสุขหดหาย
เรามักจะพูดกันเสมอๆว่าคนเรามีความสุขแล้วก็มีความทุกข์ ชีวิตคนเรามีสุขก็มีเศร้าปะปนกันไป ในดีมีชั่วในชั่วก็อาจจะมีดีอาการอย่างนี้ภาษาพระเรียกว่า “อัสสาทะ” สุข “อาทีนวะ”ทุกข์ มีสภาวะสุขๆทุกข์ๆเบื่อๆอยากๆอยู่อย่างนี้
สำหรับชาวพุทธเรารู้จักโลกธรรมกับคำว่านิพพานกันมากเพราะใช้กันอยู่ทั่วไปโลกธรรมก็คือของธรรมดาๆประจำโลกนิพพานก็คือบรมสุข “นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ” (ในที่นี้พูดถึงนิพพานในลักษณะของความสุข)มองตามหลักพระพุทธศาสนาความสุขที่พุทธศาสนิกชนมุ่งหาคือนิพพานเพราะเป็นที่ดับทุกข์ได้
ก่อนที่เราจะว่ากันในเรื่องของความสุขขอให้เราตรวจดูความทุกข์ที่มีให้เต็มตาก่อนเลยว่าอะไรคือตัวทุกข์อะไรเป็นเหตุทุกข์ สิ่งไหนที่ทำแล้วว่ามีความสุขแต่มีทุกข์ปนอยู่หรือได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจภายหลังจัดเป็นสุขไม่แท้และก่อนที่จะไปว่านิพพานเป็นบรมสุขคือสุขอย่างยิ่งก็ต้องเข้าใจว่าความสุขมีอยู่หลายขั้นด้วยกันเริ่มตั้งแต่ความสุขระดับหยาบไปหาความสุขขั้นละเอียด
-สุขจากกาม
การเสพการนี้เป็นความสุขเบื้องต้นของทุกสภาพชีวิตนะเราเสพเข้าทางตา หู จมูก ลิ้น กาน ใจรับรู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะท่านเรียกว่าอายตนะ(แดนรับรู้หรือแดนเสวยโลก)พูดอีกแง่คือโลกทั้งโลกอยู่ตรงนี้นั่นเอง ที่ภาษาท่านว่า “สวรรค์ในอก นรกในใจ”ก็มาจากตรงนี้อายตนะเป็นแดนรับรู้แดนเสวยอารมณ์สุข-ทุกข์ไหลเข้าออกผ่านอายตนะนี้
ปัจจัย๔ทั้งหลายที่เราพิจารณากันว่า ปะฏิสังขาโยฯลฯก็คือเราบริโภคกามนี้เข้าไปแต่ที่ท่านให้พิจารณาด้วยการตรึกนึกให้แยบคายลงไปว่าปัจจัยนี้เพื่ออะไร ตั้งอยู่เพื่ออะไร บริโภคเพื่ออะไรพิจารณาทุกครั้งก็เพื่อไม่ให้เสพกามโดยไม่หลงติด
กิน กาม เกียรติ
ธรรมดาคนเรานั้นก็อยู่กับกามมันมีความสุขไหมตอบได้ชัดเจนเลยว่ามีความสุข สุขอย่างไรเมื่อเราต้องการเราก็กระทำการตอบสนองความต้องการหรือที่เรียกว่าสนองตัณหา(ความอยาก)เมื่อได้รับตอบสนองอารมณ์ตัณหาแล้วก็มีความสุข ทีนี้ก็พิจารณาลงไปอีกติดกันไหมก็ตอบได้อีกว่าติด พระท่านจึงเรียกว่ามันเป็นบ่วง คนเราก็จะพยายามตอบสนองความต้องการของตัวเองให้มากขึ้นเพิ่มขึ้นก็ยิ่งจะมีสุขมาก ถามต่อไปอีกว่ากามคุณเป็นสุขที่ยั่งยืนไหม(ตอบเองว่าไม่ใช่)เพราะมันมีเสื่อมบางทีก็รูป เสียง กลิ่น รส นั่นแหละนำทุกข์มาให้อีก พูดมาถึงตรงนี้ชีวิตมนุษย์ก็จบนะสิ ก็เพราะมันมีสุขมีทุกข์อย่างนี้นี่เองพระพุทธเจ้าจึงแสวงหาทางพ้นทุกข์ เพราะเรื่องสุข-ทุกข์ของคนมันไม่จบพระพุทธเจ้าท่านก็หาทางออกให้ นอกจากจะมีปัญญารู้เห็นทุกข์แล้วต้องมีปัญญาละทุกข์ วางทุกข์ด้วย
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ปีใหม่นี้เริ่มต้นอย่างไรให้รุ่งโรจน์
ปีใหม่นี้เริ่มต้นอย่างไรให้รุ่งโรจน์
-สวัสดีปีใหม่
ก่อนอื่นขอกล่าวคำว่าสวัสดีปีใหม่มายังทุกท่าน วันนี้เป็นวันสิ้นปีและเป็นวันที่ประชาชนทั่วไปเริ่มการฉลองปีใหม่มีความสุขกันและทำกันทั่วโลก ถือว่าเป็นวันปีใหม่ร่วมกับคนทั้งโลก เราเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความสุขด้วยการทำความดีท่านถือว่าเป็นบุพพนิมิตตั้งต้นไว้ดีแล้ว เวลาผ่านมาครบ๑ปีนี้ถือว่าเป็นเวลาที่มากเหมือนกัน เราก็ได้นับ๑เริ่มต้นปีใหม่ หลายคนหลายท่านก็ใช้เวลานี้เป็นช่วงที่สำรวจตัวเองเพื่อที่จะปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่าง
ครบรอบปีใหม่แต่ละครั้งเราพากันมีความสนุกสานเราคิดสังสรรค์ใช้เวลาปีใหม่ในการหาความสุขแต่เราก็อย่าลืมว่าก็ยังมีคนอื่นที่มีความทุกข์อยู่ก็มี
เราอย่าพากันสนุกสนานมากไปทำให้อยู่ในความพอดีถูกต้อง พอเรามามองในทางธรรมะท่านก็จะเตือนเราว่า เวลาผ่านไปย่อมจะกลืนกินเรา ท่านก็สอนเราให้รู้จักใช้เวลาไม่ให้ผ่านไปเปล่าประโยชน์เวลาผ่านไปอย่าห่านไปเปล่าไม่ได้มากก็ได้น้อยแต่ให้ได้สักอย่างก็ดี
พูดถึงคำว่าได้มากได้น้อยคนก็คิดไม่เหมือนกัน บางคนก็อาจจะบอกว่า ได้เงิน ได้เรียน ได้ทำงาน แต่อยากได้ประโยชน์จริงๆเราต้องพิจารณาทุกๆวันถามตัวเองว่าเราทำประโยชน์อะไรถ้าไม่ได้อะไรจริงๆก็เอาก่อนนอนถึงวันนี้ไม่ได้อะไรแต่ถ้าใจสงบได้ก่อนนอนก็ถือว่าคุ้ม ได้ๆเล็กๆน้อยๆก็ถือว่าคุ้มเพราะกว่าจะ๑ปีก็มากโขทีเดียว เพราะพุทธเจ้านี้สอนสาวกให้รักษาเวลาอยู่ทุกขณะ ขโณ โว มา อุปจจคา
จะปฏิบัติอย่างไรก็ตามเกี่ยวกับหลักเวลาที่ว่าใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ก็พูดถึงหลักความไม่ประมาทนั่นเอง ถ้าเราระลึกได้อยู่ว่าอะไรคือหน้าที่ อะไรคือกิจที่ต้องทำเราก็จะได้ประโยชน์จากการงานของเรา พระพุทธเจ้ารับรองว่าคนมีสติไม่เสื่อมมีแต่เจริญ แต่ถ้าไม่มีสิตมีความประมาทก็จะทำให้เฉื่อย เหนื่อย เรื่อยเปื่อย บางคนประสบความสำเร็จแล้วก็หลงระเริงพอเจอพิษของอนิจจังเสื่อมเป็นทุกข์ นี้เป็นเรื่องของความไม่ประมาทกับสติเพราะพุทธเจ้าท่านย้ำตลอด
ปีใหม่นี้ก็ทำกิจด้วยความไม่ประมาทใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท เราจะปฏิบัติอย่างไรความใหม่นี้เป็นเรื่องทีดีเพราะคนชอบ เจออะไรที่ใหม่ๆเราก็สุขสดชื่น
ปีใหม่นี้เริ่มต้นอย่างไรให้รุ่งโรจน์
ปีใหม่นี้รอเราอยู่๓๖๕กว่าวัน เราจะต้องสร้างพลังขึ้นในใจถ้าใจมีพลังแล้วทำอะไรสำเร็จได้คำว่าใจมีพลังคือเป็นอิสระหมายความว่าอย่างไร ยกตัวอย่างช้างนี้เป็นสัตว์มีกำลังแต่ถ้ามันถูกตรึงไว้มันก็ไปไหนไม่ได้ ชีวิตเราก็ต้องทำให้ใจมีพลังใจมีพลังคือไม่มีกิเลสทำให้เศร้าหมองอย่างพระสงฆ์เรานี้ถ้าใจไม่มีพลังก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้ เราจะเข้าสู่ปีใหม่แล้วเราจะทำอย่างไรต้องเตรียมใจให้ดีไม่ใช่ท้อตั้งแต่ต้น
เริ่มต้นปีใหม่นอกจากสุข สด ชื่น ต้องให้ได้ปัญญามาด้วย เหมือนบางคนบอกว่าเตือนตัวเองทุกปีว่าปีใหม่ จะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ สุดท้ายเราก็ยังเป็นเหมือนเดิมทุกปี เพราะใจเราไม่มีพลังไม่มีวิริยะพะละเพราะอันนี้ก็สำคัญเพราะมีปัญญาแล้วแต่ขี้เกียจนี้ก็เสื่อมไม่พัฒนา
พลังทั้ง๕
๑.ปัญญาพะละ
๒.วิริยะพะละ คนมีความเพียรนี้เป็นคนที่มีพลังมากอย่างเรื่องในชาดกนกกระจาบจะวิดน้ำในมหาสมุทรเพื่อตามหาลูกที่ตกลงไปในน้ำนกกระจาบตัวเล็กๆแต่มีความเพียรที่จะวิดน้ำในมหาสมุทรให้แห้งจร้อนถึงพระอินทร์
๓.อนวัชชะพะละ ความสุจริตอันนี้เป็นตัวสำคัญความสุจริตเป็นกำลังมือสะอาดนั่นเองถ้าเรามีความสุจริตก็ไม่หวั่นไหวใครจะว่ามั่นใจ ทำงานได้เต็มที่ ต้องเตรียมตัวไว้แต่ต้นเลย
๔.สังคหพลัง การช่วยเหลือกันการทำประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่นเรียกว่าการสงเคาระห์นั่นเอง
ได้๔ข้อนี้ถือว่าปีใหม่นี้เรามีพลังที่พร้อมจะเดินหน้าแล้วจะอย่างไรก็ตามไม่ว่าปีใหม่หรือวันพรุ่งนี้ก็มีค่าเท่ากันเพราะจริงๆแล้วเวลามันเปลี่ยนตลอด มันก็เป็นเรื่องท้าท้ายเหมือนกันเพราะเราไม่รู้
ว่าวันข้างหน้าจะมีอะไรอะไรจะเกิดขึ้นแม้แต่การเดินก็ต้องใช้กำลังแต่เราต้องมีปัญญานะใช้ปัญญาคิดว่าเดินอย่างไรไม่ให้เหนื่อย ตกหลุมแล้วจะทำอย่างไรเพราะเราก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแต่นั่นเราต้องมีความสามรถที่จะต้องรับมือ บ้านเมืองเราก็เหมือนกันเราก็ประมาทไม่ได้จะบริหารอย่างไรให้ประสบความสำเร็จก็อาศัยพลังทั้ง๔นี้คือปัญญา วิริยะ อนวัชชะ(สุจริต) สังคหะ(ประโยชน์ประชาชน)
เราจะอยู่อย่างไรให้เป็นสุขเราก็ต้องตั้งใจดีต่อกันคนในประเทศนี้ก็ต้องตั้งใจในความปรารถนาไว้ให้ดีต่อกัน คนในโลกนี้จะอยู่อย่างมีความสุขทั้งปีใหม่และตลอดไปก็คือปรารถนาดีต่อกันไม่จองเวรกันทั้งอาฆาตพยาบาทเบียดกัน ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิตรักษาตนด้วยการไม่เบียดเบียนตนเอง(อบายมุข)รักษาผู้อื่นด้วยการไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน(เบญจธรรม)
ปีใหม่นี้ขอให้ทุกท่านมีความสุขตลอดไปขออ้างเอาคุณพระรัตนตรัยอันเป็นสรณะที่พึ่งของพุทธศาสนิกชนจงช่วยปกป้องคุ้มครองทุกท่านให้เป็นผู้มีความสุขความเจริญปรารถนาสิ่งใดอันเป็นด้วยชอบประกอบด้วยธรรมขอความปรารถนานั้นจงสำเร็จดุจพระจันทร์วันเพ็ญ สาธุ
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554
-ความยึดมั่น
-ความยึดมั่น
เรื่องยึดติดถือมั่นมีเรื่องที่ต้องพิจารณาต้องบอกว่าเรื่องความไม่ยึดมั่นนั้นเกิดจากความรู้ความเข้าใจที่เรียกว่า"ปัญญา"ซึ่งทางพระพุทธศาสนาเรียกว่าการรู้เห็นความจริง(ของสิ่งนั้นๆ)เมื่อรู้ความจริงแล้วก็จะไม่ต้องเข้าไปยึดเพราะรู้ความจริงแล้วจิตจะถูกเรียกว่าเป็นอิสระคำว่าอิสระนี้จิตไม่ได้เป้นอิสระได้เองจิตจะเป็นอิสระได้ด้วยปัญญาถ้ายังไม่พิจารณาก็จะไม่มีทางเห็นหรือพิจารณาแล้วแต่ไม่ตัดก็ยังจะยึดติดอยู่อย่างนั้น
สมมุติขอยกตัวอย่างมีคนเอาทองมาเเราก็อยากได้ทองบอกว่าผมขายทองนะจริงๆนะทองราคาสูงแต่ว่าผมขายให้บาทละ๒,๐๐๐ เอาไหมเราก็เกิดความอยากได้ขึ้นมาแล้วเราก็เกิดความอยากยึดแล้วทีนี้พอเกิดปัญญารู้ด้วยอะไรก็แล้วแต่จิตก็หลุดเองเลยทีนี้มันปล่อยเองเลย เกิดวันใดวันหนึ่งเรารู้สภาวะธรรมเรารู้โดยชัดเจนจิตมันหลุดเองไม่ต้องไปปลดเปลื้องมันหรอก นี้แหละที่เรียกว่าการไม่ยึดมั่นถือมั่นคือต้องอาศัยการรู้จริง
ด้วยปัญญา
อย่างเรามีความอยากเรื่องของมนุษย์ดลกเราก็เห็นด้วยเหตุผลของแต่จิตของเราก็ยังยึดเช่นท่านว่ามันไม่เที่ยงนะ มันเป้นทุกข์นะเราก็เห้นด้วยท่าน็พูดจริงนะแต่สภาวะจิต(ปัญญา)ของเรายังไม่เห็นไม่ถึงขั้นนั้นเราสวดมนต์ๆสังขารเป้นทุกข์ รูปไม่เที่ยงๆเราก็ว่าไปแต่ทีจริงจิตยังยึดมั่นอยู่ ทีนี้ก้มีคนบางพวกเอาละนะทีนี้ฉันจะไม่ยึดมั่นฉันจะปฏิบัติตอนนี้การไม่ยึดมั่นก็เลยเป็นการยึด
มั่นในการปฏิบัติของเรา
ในความไม่ยึดมั่นมันก็จะเกิดคำพูดที่ว่าโอ้ยอันนี้ไม่ใช่บ้านเราไม่ใช่สมบัติของเราเป็นยังไง อันนี้ไม่ใช่ลูกเมียเราเพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องไปใส่ใจหรอกปล่อยๆไปตกลงมันก็เสียหายไป การทำเราก็ต้องทำด้วยเหตุผลทำด้วยปัญญา
สรุปแล้วก็คือสำหรับปุถุชนอย่างเราที่เห็นว่าความยึดมั่นไม่ดีเราก็ปฏิบัติตามหลักนั้นตามเหตุปัจจัยที่มันเป็น มันไม่ได้เป็นไปตามใจอยากของเรา เราไปยึดมันก็เป็นทุกข์มันบีบคั้นใจเรา มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยมันมีสภาวะของมัน เราปุถุชนทำได้อย่างนี้ก็คือการรู้ตามเป็นจริงทำได้อย่างนี้ก็ดี เราต้องพิจารณาอย่างสม่ำเสมอว่าเราจะต้องฝึกตนอยู่เสมอตระหนักในการฝึกตนเพื่อการทำที่สุดแห่งความทุกข์
วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554
-เชือกผูกภพ-
-เชือกผูกภพ-
คำว่า"สังโยชน์" เป็นโซ่ตรวนที่ผูกโยงมนุษย์ไว้กับกิเลสที่ทำให้ติดข้องอยู่ในวัฏสงสารอันยาวนานแต่พระอรหันต์ได้ตัดโซ่ตรวนแห่งสังโยชน์หมดแล้วจึงเป็นอิสระจากภพ เพราะไม่ต้องมาเกิดอีก คนที่ละเลยธรรมะจะไม่สามารถตัดโซ่แห่งภพชาติได้ซึ่งสามารถฉุดลากเขาให้ตกลงไปสู่อบายภูมิทั้ง ๔ ได้แม้ในบางอดีตชาติอาจไปเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาด้วยอำนาจบุญ แต่ไม่นานก็ถูกฉุดรั้งให้ไปเกิดในอบายภูมิด้วยกรรมชั่วที่ทำได้ง่ายดังนั้นในคัมภีร์อรรถกถาของธรรมบทจึงกล่าวไว้ว่า ปุถุชนที่ประมาทละเลยธรรมย่อมมีอบายภูมิ๔เป้นที่อยู่อันถาวรดังข้อความว่า
"อนึ่ง ขึ้นชื่อว่าอบายภูมิ๔ของผู้ประมาทแล้ว เป็นเช่นกับเคหสถานของตน"
การเวียนว่ายตายเกิดย่อมเหมือนกับเราไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งหรือจากบ้านไปทำงานสุดท้ายเมื่อสิ้นวันก็ต้องกลับมาพักที่บ้านของตัวเองเช่นเดิม การเกิดในภพชาติก็วนเวียนไปมาเช่นนี้ เมื่อไปจุติในสวรรค์ก็กลับมาเกิดอีกไปจุติในอบายภูมิก้ต้องกลับมาอีกถึงแม้จะได้ไปจุติในพรหมโลกด้วยอำนาจแห่งฌาณ แต่เชือกของกามภูมิก็ยังฉุดดึงให้มีการเวียนว่ายในสังสารวัฏเหมือนเดิม
ท่านเปรียบเหมือนวัวที่ถูกผูกไว้กับหลักมันจะไม่สามรถเดินไปไหนไกหรือออกจากหลักได้ บางครั้งนั้นเชือกอาจจะยาวพอให้วัวเดินออกไปไกลมากๆแต่กระนั้นก็ไม่สามรารถหลุดออกจากหลักได้
ดังนั้น ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็ยังอยู่ต่อไปในทุกภพการตัดเชือกแห่งภพจึงไม่มีชาติใหม่จึงไม่มีความเกิด ความแก่ ความเจ็บความตาย
ผู้หลุดพ้นทั้งหลายต่างหลุดพ้นด้วยการรู้โดยชอบ ปฏิบัติโดยชอบ (สมฺม ทญฺญา วิมุตฺโต) หมายความว่า พระอริยบุคคลหยั่งรู้นิพพานโดยประจักษ์แล้วหลุดพ้นจากทุกข์ตามลำดับ
คือ พระโสดาบัน๑ พระสกทาคามี๑พระอนาคมี๑พระอรหันต์๑
-สุภัทรวาที
สิ้นทุกข์เมื่อบรรลุถึงที่สุดของโลก-
-สิ้นทุกข์เมื่อบรรลุถึงที่สุดของโลก-
น โข ปนาหํ อาวุโส อปฺปตฺวา โลกสฺส อนฺตํ ทุกฺขสฺส อนฺตกิริยํ วทามิ.
อปิจ ขฺวาหํ อาวุโส อิมสฺมิญฺเญว พฺยามมตฺเต กเฬวเร สสญฺญมฺหิ สมนเก โลกญฺจ ปญฺญเปมิ โลกสมุทยญฺจ โลกนิโรธญฺจ โลกนิโรธคามินิญฺจ ปฏิปทํ.(สํ.ส.๑๕.๑๐๗.๗๔,องฺ.จตุกฺก.๒๑.๔๕.๕๓)
"และเรายอมไม่กล่าวการกระทำที่สุดแห่งทุกข์ เพราะไปไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ แต่เราย่อมบัญญัติโลก เหตุเกิดของโลก ความดับของดลก และทางดำเนินไปให้ถึงควมดับความโลก ในอัตภาพอันมีประมารวาหนึ่ง มีสัญญา และมีใจนี้เท่านั้น"
การไปให้ถึงที่สุดแห่งโลก ไม่สามารถจะสำเร้จได้ด้วยการกระทำทางกายแต่บรรลุด้วยการพัฒนาปัญญา คำว่า "โลก"ตามที่พุทธองค์ทรงตรัสนั้นหมายถึง "ทุกข์"ผู้ที่ไม่พยายามใช้ปัญญาย่อมไม่สามรถบรรลุถึงความดับทุกข์ได้ เพราะทั้งโลกนี้ถูกปรุงด้วยความแปรเปลี่ยนของกระแสรูปนาม เป็นโลกแห่งความทุกข์ และที่สุดขอโลกก็คือนิพพาน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)