วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554
-ความยึดมั่น
-ความยึดมั่น
เรื่องยึดติดถือมั่นมีเรื่องที่ต้องพิจารณาต้องบอกว่าเรื่องความไม่ยึดมั่นนั้นเกิดจากความรู้ความเข้าใจที่เรียกว่า"ปัญญา"ซึ่งทางพระพุทธศาสนาเรียกว่าการรู้เห็นความจริง(ของสิ่งนั้นๆ)เมื่อรู้ความจริงแล้วก็จะไม่ต้องเข้าไปยึดเพราะรู้ความจริงแล้วจิตจะถูกเรียกว่าเป็นอิสระคำว่าอิสระนี้จิตไม่ได้เป้นอิสระได้เองจิตจะเป็นอิสระได้ด้วยปัญญาถ้ายังไม่พิจารณาก็จะไม่มีทางเห็นหรือพิจารณาแล้วแต่ไม่ตัดก็ยังจะยึดติดอยู่อย่างนั้น
สมมุติขอยกตัวอย่างมีคนเอาทองมาเเราก็อยากได้ทองบอกว่าผมขายทองนะจริงๆนะทองราคาสูงแต่ว่าผมขายให้บาทละ๒,๐๐๐ เอาไหมเราก็เกิดความอยากได้ขึ้นมาแล้วเราก็เกิดความอยากยึดแล้วทีนี้พอเกิดปัญญารู้ด้วยอะไรก็แล้วแต่จิตก็หลุดเองเลยทีนี้มันปล่อยเองเลย เกิดวันใดวันหนึ่งเรารู้สภาวะธรรมเรารู้โดยชัดเจนจิตมันหลุดเองไม่ต้องไปปลดเปลื้องมันหรอก นี้แหละที่เรียกว่าการไม่ยึดมั่นถือมั่นคือต้องอาศัยการรู้จริง
ด้วยปัญญา
อย่างเรามีความอยากเรื่องของมนุษย์ดลกเราก็เห็นด้วยเหตุผลของแต่จิตของเราก็ยังยึดเช่นท่านว่ามันไม่เที่ยงนะ มันเป้นทุกข์นะเราก็เห้นด้วยท่าน็พูดจริงนะแต่สภาวะจิต(ปัญญา)ของเรายังไม่เห็นไม่ถึงขั้นนั้นเราสวดมนต์ๆสังขารเป้นทุกข์ รูปไม่เที่ยงๆเราก็ว่าไปแต่ทีจริงจิตยังยึดมั่นอยู่ ทีนี้ก้มีคนบางพวกเอาละนะทีนี้ฉันจะไม่ยึดมั่นฉันจะปฏิบัติตอนนี้การไม่ยึดมั่นก็เลยเป็นการยึด
มั่นในการปฏิบัติของเรา
ในความไม่ยึดมั่นมันก็จะเกิดคำพูดที่ว่าโอ้ยอันนี้ไม่ใช่บ้านเราไม่ใช่สมบัติของเราเป็นยังไง อันนี้ไม่ใช่ลูกเมียเราเพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องไปใส่ใจหรอกปล่อยๆไปตกลงมันก็เสียหายไป การทำเราก็ต้องทำด้วยเหตุผลทำด้วยปัญญา
สรุปแล้วก็คือสำหรับปุถุชนอย่างเราที่เห็นว่าความยึดมั่นไม่ดีเราก็ปฏิบัติตามหลักนั้นตามเหตุปัจจัยที่มันเป็น มันไม่ได้เป็นไปตามใจอยากของเรา เราไปยึดมันก็เป็นทุกข์มันบีบคั้นใจเรา มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยมันมีสภาวะของมัน เราปุถุชนทำได้อย่างนี้ก็คือการรู้ตามเป็นจริงทำได้อย่างนี้ก็ดี เราต้องพิจารณาอย่างสม่ำเสมอว่าเราจะต้องฝึกตนอยู่เสมอตระหนักในการฝึกตนเพื่อการทำที่สุดแห่งความทุกข์
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น