วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เปรียบเทียบเชนกับพุทธ

เชน(นิครนถ์นาฏบุตร)กับพุทธมีคำสอนคล้ายกันมาก บางคนเข้าใจว่าเชนเป็นนิกายหนึ่งในพระพุทธศาสนา เชนกับพุทธมีประวัติศาสตร์และคำสอนในภูมิประเทศเดียวกันเผยแผ่ในยุคเดียวกัน พระศาสดาเป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่ทางเหนือคืออุตตรประเทศ ในอินเดีย เปรียบเทียบโดยสรุป ดังนี้ ๑. ตำนานเล่าว่าเชนมีอยู่ก่อนสมัยพระเวท เมื่อกว่า ๕,๐๐๐ ปี ผู้ตั้งลัทธิมี ๒๔องค์ พระพุทธศาสนาเล่าถึงพระพุทธเจ้าในอดีต ๒๔ พระองค์ ชื่อผู้ตั้งลัทธิเชนกับพระพุทธเจ้าในอดีตและพระปัจเจกพุทธเจ้า มีพ้องกันหลายชื่อ ๒. นิครนถ์นาฏบุตร(มหาวีระ) ถือกำเนิดในวรรณะกษัตริย์ กรุงเวสาลี แคว้นวัชชีก่อนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถือกำเนิดในวรรณะกษัตริย์ กรุงกบิลพัสดุ์ สักกชนบท แคว้นโกศล พระศาสดาทั้งสองมาจากระบอบปกครองแบบสาธา
รณรัฐ ผู้บวชตามปารศวนารถเรียกว่า นิครนถ์ กุมารบุตร ผู้บวชตามมหาวีระ เรียกว่า นิครนถ์ นาฏบุตร ผู้บวชตามพระพุทธเจ้า เรียกว่า สมณะ ศากยบุตร เชนและพุทธเป็นศาสนาอไวทิกะ ไม่นับถือคัมภีร์พระเวท (non-Vedic) ไม่ถือชนชั้น ยุคแรก ๆ ไม่มีเรื่องเทวดา เป็นนาสติกะ ปฏิเสธผู้สร้างโลก N. Aiyaswami Sastri อ้างคำพูดของท่านนาคารชุน ในคัมภีร์รัตนวาลี ที่บอกว่า “A nastika is doomed to hell” นิครนถ์กับพระพุทธศาสนาจึงไม่ใช่นาสติกะ(nastika) นาสติกะตามนัยหลังหมายถึงลัทธิปฏิเสธปรโลกคือพวกจารวาก เชนดัดแปลงคำสอนมาจากหลัก จตุยามสังวรธรรม ของปารศวนารถ เป็นลัทธิอัตตกิลมถานุโยค เชื่อว่าการเปลือยกายเป็นสัญลักษณ์ของคนไม่มีกิเลส พระพุทธศาสนามีคำสอนหลักคือ จตุราริยสัจ(อริยสัจ ๔) เป็นทางสายกลาง(มัชฌิมาปฏิปทา) พระพุทธศาสนามีปัญจศีล นิครนถ์มี ปัญจพรต ปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธเจ้าปฏิเสธกิริยวาทะของมหาวีระ คำสอนที่ปะปนกัน ๓ ทรรศนะในยุคนั้น ได้แก่ (๑) สังสารสุทธิหรืออาหารสุทธิของอาชีวก (๒) สยาทวาท์หรือกิริยวาทะของนิครนถ์ นาฎบุตร (๓) วิภัชชวาทะหรือกรรมวาทะของพระพุทธเจ้า ๓. เชนเชื่อว่าชีวิตมีผลจากกรรมเก่าในชาติอดีต คนจะมีสุขทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ก็เพราะกรรมเก่า กายทัณฑะ(กายกรรม)สำคัญยิ่งกว่าวจีทัณฑะและมโนทัณฑะ การกระทำจะมีเจตนาหรือไม่มีเจตนาจัดเป็นกรรมทั้งสิ้น พระพุทธศาสนาสอนว่ามนุษย์เป็นทายาทแห่งกรรม การกระทำที่มีเจตนาเท่านั้นจึงจัดว่าเป็นกรรม มโนกรรมสำคัญยิ่งกว่ากายกรรมและวจีกรรม สอนเน้นปัจจุบันมากกว่าเน้นเรื่องอดีตและเรื่องอนาคต ๔. เชนเป็นศาสนาสำหรับชาวอินเดีย พุทธเป็นศาสนาสำหรับชาวโลก นิครนถ์และพระพุทธศาสนาต่างเป็นกรรมวาที เน้นการกระทำเหมือนกัน แต่มีความหมายต่างกันพระพุทธเจ้าทรงสอนว่ากรรมเป็นสิ่งเกินขีดความสามารถที่สามัญชนจะรู้ เป็นอจินไตยนอกจากกรรมที่ต่างกัน ยังมีคำที่เขียนตรงกันแต่ใช้ต่างกัน ได้แก่ วินยวาทะ อรหันต์ ญาณสัมมาทิฐิ มิจฉาทิฐิ ติสรณะ วิญญาณ อาสวะ ธรรม เป็นต้น ๕. เชนและพุทธสอนว่าอวิชชาคือรากเหง้าแห่งกรรม จุดหมายของนิครนถ์คือความหลุดพ้น(โมกษะ) ความหลุดพ้นในพระพุทธศาสนา เรียกว่านิพพานหรือวิมุตติ วิธีการปฏิบัติไปสู่ความหลุดพ้นก็แตกต่างกัน ๖. ก่อนศาสดามหาวีระ ๒๕๐ ปี (๑๗๘ ปี?) ปารศวนารถประกาศคำสอนเรียกว่าจตุยามสังวรธรรม ไม่กำหนดว่าคนที่บรรลุโมกษะจะต้องเปลือยกาย อนุญาตให้สตรีบวชเป็นนิครนถ์ได้ มหาวีระปรับเปลี่ยนจตุยามสังวรธรรมเป็นปัญจมหาพรต กำหนดว่าผู้ได้บรรลุโมกษะจะต้องเปลือยกาย นิกายดั้งเดิม(ทิคัมพร) ถือปฏิบัติเคร่งครัด ทั้งห้ามสตรีบวช ส่วนนิกายนุ่งห่มขาว(เสวตัมพร) อนุญาตให้สตรีบวชได้ มีองค์กรทางศาสนาเรียกว่า จตุวิธสงฆ์ ได้แก่ มุนี อารยิกา สาวกและสาวิกา ในวินัยปิฎกมีเรื่องว่า สมัยพุทธกาลมีนักบวชสตรีนอกพระพุทธศาสนา เรียกว่าสมณีไม่ระบุว่าเป็นสมณีของฝ่ายใด “กินฺนุมา สมณิโย สกฺยธีตโร สนฺตญฺญาปิ สมณิโย ลชฺชนิโยกุกฺกุจฺจิกา สิกฺขกามา : มีเพียงสมณะหญิงศากยะเท่านั้นหรือ ยังมีสมณะหญิงอื่นที่มีความละอายรังเกียจบาป ใฝ่ศึกษา” พระพุทธศาสนามีองค์กร คือ พุทธบริษัท ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกา นิกายดั้งเดิม(เถรวาท)ถือว่าชีวิตนักบวชเปิดโอกาสให้หลุดพ้นได้มากกว่าชีวิตผู้ครองเรือนนิกายมหายาน (พวกมาก) ดำเนินตามปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ เน้นที่ความกรุณา ปรับประยุกต์คำสอนจนมีชื่ออีกอย่างว่า อาจริยวาท ซึ่งหมายถึงคำสอนจากอาจารย์ ๘. เชนรวบรวมคำสอนครั้งแรกที่ปาฏลีบุตร(รัฐวิหาร) รวบรวมครั้งที่ ๒ ที่วัลลภีคัมภีร์ของเชนเรียกว่าอาคม มี ๓ ระดับ ได้แก่ อังคะ(คัมภีร์ย่อยมี ๑๒ คัมภีร์) ปูรวะ (คัมภีร์ย่อยมี ๑๔ คัมภีร์) และประกีรณะ (คัมภีร์ย่อยมี ๑๖ คัมภีร์) เกิดขึ้นในการสังคายนาที่วัลลภีนิกายทิคัมพรเชื่อว่าคำสอนเดิมของมหาวีระสูญหายไปแล้ว ไม่เชื่อว่ามหาวีระเคยแต่งงาน แต่ยอมรับคัมภีร์ของนิกายเสวตัมพร เชนมีคำสอนเป็นหมวดหมู่หลังมีพระไตรปิฎก ใช้ภาษาปรากฤต เรียกว่า อรรธมาคธี(Ardha-Magadhi or Jaina Prakrit) ที่รับอิทธิพลไปจากพระไตรปิฎก เช่น คำว่า คณิปิฎก ของนิกายเสวตัมพร ชื่อเหมือนกับติปิฏก ส่วนพุทธมีสุทธมาคธี หรือภาษาบาลีเป็นภาษาคัมภีร์ ๙. ปัจจุบันในประเทศอินเดียมีผู้นับถือเชนราว ๕ ล้านคน (ไม่รวมในประเทศศรีลังกา) วันเทศกาลของเชน คือ การบูชาประทีป เรียกว่าทีปวาลี(Dipavali หรือDivali) (ในเดือนพฤศจิกายน) ตำนานเล่าว่า เมื่อชาวบ้านรู้ข่าวการสิ้นชีวิตของท่านมหาวีระที่เมืองปาวา ได้พากันจุดไฟตามประทีปสว่างไสวแสดงความอาลัยอาวรณ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น