วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554
ธรรมอันเป็นพลังและที่ตั้งแห่งความสำเร็จ
ฉันทะธรรมนี้สำคัญเป็นที่หยั่งลงของความสุขและประโยชน์ความขยันความยินดีพึงมีได้เพราะมีฉันทะ ทำงานไม่เหน็ดเหนื่อยไม่ท้อเพราะมีฉันทะเพราะรักเพราะความพอใจ
อย่างหลวงพ่อปัญญาท่านทำงานด้วยฉันทะอายุ ๙๐ ไม่เหนื่อยไม่ท้อ ไม่หยุดเป็นตัวอย่างที่ดี ให้เราคนหนุ่มมีไฟเอาเป็นแบบอย่าง บางคนเพราะขาดฉันทะจึงไม่เห็นคุณค่าของชีวิตของหน้าที่จึงไม่ได้ความสุขไม่ได้ประโยชน์จากชีวิตจากหน้าที่ของตน
พระศาสดาท่านบอกว่าท่านเป็นผู้มีฉันทะอยู่เสมอเริ่มตั้งแต่ออกแสวงหาโมกขธรรมแล้ว ฉันทะที่ไม่เคยลดละไม่มีคำว่าเกียจคร้านไม่มีคำว่าท้อมีแต่คำว่าสู้ใหม่ เอาใหม่พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
เราฟังแล้วก็สำเหนียกนึกย้อนมองดูเราเองนั้นและว่าเป็นผู้ปฎิบัติไหมอันที่จริงการปฏิบัติธรรมมันก็ไม่ยากก็เพียงแต่เอาธรรมนั้นมาประพฤติเข้าใจอย่างนี้ก็ทำถูกต้อง อยู่ไหนก็ปฏิบัติธรรมได้ ที่นี้มันก็สบายเพราะเรามีธรรมทุกที่เป็นผู้ฉลาดต้องไม่ขาดธรรมให้รู้จักทำ
กล่าวถึงพระศาสดานี้ว่าไม่มีความลดละไม่เคยย่อท้อ ถ้าให้เราไปทำคงจะทำไม่ได้อย่างท่าน ก่อนพระศาสดาจะมาบำเพ็ญทุกรกิริยาแรกเริ่มก็ไปฝึกหัดลองทำตปสีวัตร วัตรอันแผดเผานั่งตะปูแก้ผ้าเมื่อตากแดดตากลมถ้าถึงฤดูหนาวก็ไปตากหิมะกินขี้วัว คลานเหมือนเด็กไปตามทางตามป่าเขาเจอมูลเจอมูตรก็เก็บเป็นอาหาร
พระศาสดาปฏิบัติเป็นตัวอย่างว่าความเพียรนี้มีอำนาจจริง อำนาจไม่ใช่การข่มเหงกัน อำนาจนี้คืออำนวยผลอันยิ่งใหญ่มาให้
ถ้าพระศาสดาละความเพียรเสียก็คงไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพระศาสดาละความพอใจในการแสดงพระธรรมเทศนาเสีย ก็คงไม่มีพระธรรมอันนำสุขมาให้นำประโยชน์มาให้แก่เรานี้
เรามุ่งหวังทำการอันใดละฉันทะละความพอใจไม่ได้ขาดไม่ได้ ประการแรกสร้างฉันทะขึ้นมาให้ได้ก่อน สร้างเหตุให้เกิดมีปัจจัยที่ส่งต่อให้เกิดผล
ย้ำอีกทีว่าฉันทะเป็นคุณสมบัติของพระผู้มีภาคเจ้า พระองค์มีฉันทะไม่ย่อถอยเป็นสัมมาสัมพุทธะนี้เพราะมีฉันทะเทศนาสั่งสอนตลอดพระชนมายุกาลก็เพราะฉันทะ
เพราะฉันทะจึงทำให้การงานมีความสุข เรียนเป็นสุข ชีวิตเป็นสุข ถ้าจะหาเรื่องพัฒนาตัวเราก็เริ่มพัฒนากันที่ตรงนี้
พระศาสดาปฏิบัติจวนจะตายก่อนมาเป็นศาสดาเรา คลำทางปฏิบัติกว่าจะค้นพบมรรคผลเห็นว่าปฏิปทานี้นี้ไม่ใช้มรรคสิ่งนี้ไม่ใช้ทางควรดำเนิน
อย่างเราทุกคนรุ่นหลัง ผู้ปฏิบัติตามหลังจะว่าเป็นโชคดีของเราก็ว่าได้เพราะมีพระสัทธรรมให้เราได้ศึกษาให้เราปฏิบัติในทางที่ถูกที่ควร พระพุทธองค์ชี้ทางให้แล้ว ทำทางให้เดินเหลือแต่เราเท่านั้นเดินไปไหม
เข้าใจยากอยู่หรอกก็เหมือนกับคนไม่รู้อะไรมีคนบอกว่า ท่านเอ่ย ทำแบบนี้นะ รู้อย่างนี้นะ เราไม่เข้าใจก็ยืนทำหน้างง เพราะวิธีที่เราเคยทำมา เคยพากันเข้าใจนั้นมันคนละอย่าง
ท่านบอกว่าวางของหนักเสียเน้อ ให้เข้าใจว่าความยึดมั่นถือมั่นคือของหนักนั้นเอง
ธรรมนี้เมื่อบุคคลเห็นด้วยปัญญาแล้วจึงแจ่มแจ้ง ความเจริญในธรรมคือการประพฤติคือการพฤติธรรมนั่นแลอย่าพากันวางความเพียรเสีย การประพฤติธรรมนี้สำคัญ ผลนี้มีได้เพราะเจริญมรรคให้ดีแล้ว
ท่านหลวงพ่อปัญญาท่านนับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เรา ดูครูบาอาจารย์ที่เรานับถือก็ได้ถึงท่านจะสังขารล่วงโรยมีภาระหนักก็ปฏิบัติวัตรอันเป็นการอนุเคราะห์ประโยชน์แก่มหาชน
ความขี้เกียจนี้ไม่ใช่ธรรมของพระศาสดาไม่ใช่ธรรมที่จะนำความเจริญในพระศาสนานี้ ความเจริญเกิดได้ด้วยความขยัน เป็นพระขี้เกียจไม่ดี เป็นนายกขี้เกียจไม่ดี เป็นครูขี้เกียจไม่ดี เป็นนักเรียนขี้เกียจไม่ดี ความขี้เกียจนี้เสื่อมอย่างเดียว ลาภที่ควรได้ก็ไม่ได้ ยศนี้ควรจะปรากฏก็ไม่มีผู้ประพฤติอกุศลอันนี้ ย่อมจะเสื่อมลาภ เสื่อมจากยศ เสื่อมสุข
วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554
ทำไฉนหนอ การทำที่สุดแห่งทุกข์จะพึงมีแก่เราได้
สิ้นสุดที่ธรรม
ที่สุดแห่งทุกข์คือที่สุดของการดับแห่งกระแสของปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าตรัสว่าเพราะเราไม่รู้อริยสัจจ์ ๔ จึงไม่สามารถทำที่สุดของการดับทุกข์ได้
"ชนเหล่าใด ไม่รู้ทั่วถึงซึ่งทุกข์ และเหตุเกิดแห่งทุกข์และ
ธรรมเป็นที่ดับแห่งทุกข์ทั้งปวงโดยไม่เหลือ และหนทางเป็นที่ถึงซึ่ง
ความเข้าไปสงบแห่งทุกข์; ชนเหล่านั้น พลาดแล้วจากเจโตวิมุตติ
และปัญญาวิมุตติ ไม่สมควรที่จะกระทำที่สุดแห่งทุกข์ มีแต่จะ
เข้าถึงซึ่งชาติและชรา.
ส่วนชนเหล่าใด รู้ทั่วถึงซึ่งทุกข์ และเหตุเกิดแห่งทุกข์ และ
ธรรมเป็นที่ดับแห่งทุกข์ทั้งปวงโดยไม่เหลือ และหนทางเป็นที่ถึงซึ่ง
ความเข้าไปสงบแห่งทุกข์; ชนเหล่านั้น ถึงพร้อมแล้วด้วยเจโตวิมุตติ
และปัญญาวิมุตติ สมควรที่จะกระทำที่สุดแห่งทุกข์ ไม่เข้าถึงซึ่งชาติ
และชรา".
- มหาวาร.สํ. ๑๙/๕๔๒/๑๗๐๐ – ๑๗๐๒
คนเราทั้งหลายต่างก็ดำเนินชีวิตอยู่เหมือนกันต่างก็ทำกิจกรรมการงานของตนเพื่อคำว่าพ้นทุกข์แต่นั่นก็ไม่เคยพบเลย สุขบ้างทุกข์บ้างอย่างนี้อยู่เรื่อยไปเกิดเบื่อๆอยากๆอย่างนี้พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าโลกเรามีทั้งสุขทั้งทุกข์ผสมปนกันไป มีทั้งอัสสาทะและอาทีนวะ พระพุทธเจ้าบอกให้ละเหตุแห่งทุกข์ไม่ใช่ให้หาทุกข์มาใส่ตัวอะไรคือความเสื่อมในกุศลธรรมพระพุทธเจ้าบอกไว้อย่าทำให้ละส่วนอันไหนที่เป็นกุศลที่จะเพิ่มพูนอรรถประโยชน์แก่ตัวเราได้พระพุทธเจ้าเรียกว่าภาวนาให้เพียรสร้างทำให้เจริญงอกงามขึ้นไม่ให้ละ
อัสสาทะคือโทษของกาม อาทีนวะคือคุณของกาม นิสสรณคือทางออกอุบายอันเป็นเครื่องออกจากทุกขเวทนา จึงเกิดคำถามว่าทำอย่างไรจึงจะออกจากทุกข์ได้มีพุทธพจน์ตรัสเยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า
ภิกษุ ท ! สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ไม่รู้ชัดตามเป็นจริง
ซึ่ง อัสสาทะแห่งเวทนาทั้งหลายโดยความเป็นอัสสาทะด้วย ซึ่งอาทีนวะโดยความเป็นอาทีนวะด้วย
ซึ่งนิสสรณะโดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้ อยู่ ; สมณะหรือ
พราหมณ์เหล่านั้นน่ะหรือ จักรอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชวน
ผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว ดังนี้นั้น : นั่นไม่เป็นฐานะ
ที่มีได้.
ภิกษุ ท ! ส่วน สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งอัส สาทะ
แห่งเวทนาทั้งหลายโดยความเป็นอัสสาทะด้วย ซึ่งอาทีนวะโดยความเป็นอาทีนวะ
ด้วย ซึ่งนิสสรณะโดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้ อยู่ ; สมณะหรือ
พราหมณ์เหล่านั้นน่ะแหละ จักรอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชวน
ผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว ดังนี้นั้น : นั่นเป็นฐานะที่
มีได้.
หลักการของพระพุทธศาสนาถือหลักปฏิบัตินั้นสำคัญ การศึกษาพระพุทะศาสนาขาดการปฏิบัติไม่ได้ หากขาดการปฏิบัติย่อมไม่สามารถเข้าถึงหัวใจของพระพุทะศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็ได้ประกาศหลักนี้แก่ชาวโลก เพื่ออนุเคราะห์ประโยชน์สุขแก่ชาวโลกโดยทั่วกัน
หลักของศีล สมาธิ ปัญญาล้วนเป็นหลักเพื่อขจัดความทุกข์ พระพุทธเจ้าเรียกการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์นี้ว่า “พรหมจรรย์” ผู้ปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญานี้จึงเรียกว่าผู้ประพฤติพรหมจรรย์ การปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์สิ้นทุกข์ทั้งปวง การดับทุกข์ได้พระพุทะศาสนาถือว่าเป็นยอดสุขทั้งปวง นิพพานํ ปรมํ สุขํ
ขอให้เราเข้าใจว่าการปฏิบัติที่ถูกต้องเท่านั้นจึงจะเป็นแนวทางให้เราเข้าถึงประโยชน์ของชีวิตได้ เราลองพิจารณาตัวเราเองเถิดว่าได้ประพฤติปฏิบัติตามมัชฌิมปฏิปทาไหม ปฏิบัติถูกหรือไม่ ชีวิตเราวุ่นวายอยู่ไม่สงบอย่างนี้เพราะอะไรรู้สาเหตุแล้วก็พึงเว้นเหตุนั้นน้อมเอาอริยมรรคไปปฏิบัติ ถ้าเราพากันห่างธรรมความสุขก็หายากไม่บังเกิด การปฏิบัติสมควรแก่ธรรมนี้แลคือหนทางที่จะดับทุกข์ได้
ไม่ต้องพิจารณาสิง่อื่นสิ่งไหนไกล ความเห็นความเป็นต่างๆที่เกิดขึ้น เราเคยได้ยกขึ้นสู่ใจมาพิจารณากันไหม พิจาราตามความเป็นจริงหรือไม่ ความโลก ความโกรธ ความหลง ความเกิดอย่างนี้ ความแก่อย่างนี้ ความตายอยงนี้ ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย มันอยู่ที่เรา พิจารณาทุกข์คือพิจารราสิ่งที่มันเกิดขึ้น สังเกตไม่ชอบบ้าง ชอบบ้างมันเป็นอย่างไร ไม่เคยพิจารณาความตายว่าชีวิตนั้นสั้นนัก ความตายนี้จักมีแก่เราแก่ลูก แก่หลานเราเห็นดังนี้จึงเห็นความตายเป็นธรรมดาเป็นความจริงแปรเป็นอื่นไม่ได้ เห็นความแก่ในตัว เห็นอนิจจํ สติก็จักเกิดขึ้นทำให้เราสามารถกั้นความหลงได้ ตื่นจากความหลงในกามได้ ลุกขึ้นมาทำความเพียรปฏิบัติกุศลกรรทำประโยชน์สุขได้สมบรูณ์
การที่เรายังไม่เข้าใจธรรมการปฏิบัติตามธรรมจึงไม่ถูกหนักกว่านี้คือคนที่ไม่พยายามเข้าใจเลยอย่างนี้เรียกว่าห่างไกลกันมาก
เรานี้เป็นชาวพุทธนับถือพระพุทธเจ้าแล้วการปฏิบัติตามคำสอนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ศีลธรรมนี้ละไม่ได้วางไม่ได้ต้องยึดไว้ ปฏิบัติกันให้มากเพิ่มพูนให้ยิ่งขึ้นไป หมั่นสำรวจตัวเองอยู่เสมอแล้วจะรู้ว่าเราขาดอะไรควรเพิ่มอันไหน ควรรักษาอันไหนให้เจริญยิ่งขึ้นไป ศีลที่ขาดไปด่างพล้อยไปก็จักได้สำรวมมากขึ้น อย่างนี้เรียกว่ารู้จักฉลาดในการปฏิบัติ ความเจริญก็จักเกิดขึ้นในพระศาสนา
วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคนไทยต้องได้ปัญญา
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคนไทยต้องได้ปัญญา
ระยะเวลา ๕ ปีที่ผ่านมาประเทศไทยนั้นผ่านเหตุการณ์ต่างๆมามากมาย สิ่งที่เราไม่เคยเห็นก็ได้เห็น ไม่เคยได้สัมผัสก็ได้สัมผัสรับรู้ แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชนควรที่จะได้คิดพิจารณาในเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ในบ้านเมืองของเราหรือต่างประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ได้บอกให้เราไปเก็บสิ่งไม่ดีมาคิดให้ปวดสมอง
คำถามจึงเกิดขึ้นว่าเราควรจะทำอย่างไร
ในทางพระพุทธศาสนาเวลาสอนให้คนมองโลกไม่ได้บอกให้มองโลกในแง่ดีด้านเดียวหรือในด้านใดด้านหนึ่ง คนเราเกิดมาแล้วมีสุขมีทุกข์เหมือนกันหัวเราะร้องไห้ในเรื่องเหมือนกันๆไม่มีใครต่างกันในเรื่องของกิเลสทุกสิ่งทุกอย่างถูกพลักดันด้วยความอยากคือตัณหา
เวลาเราทุกข์เรามีวิธีการแก้ปัญหาอย่างไรพระพุทธเจ้าได้เคยเปรียบเทียบให้สาวกฟังว่าถ้ามีคนมาจุดไฟที่หัวสิ่งที่ควรทำก่อนอย่างแรกคือทำใจก่อนถ้าหากเป็นเราท่านทั้งหลายก็จะหาทางดับไฟเอาน้ำเอาอะไรมาดับแต่พระพุทธเจ้าบอกสาวกว่าก่อนอื่นเลยให้ดับใจก่อน
เราจึงเห็นวิธีการแก้ปัญหาที่ต่างกันไปของคน บางทีก็ตัดสินใจชั่ววูบเดียวบางคนก็ผ่านปัญหาไปได้สะดวกสบาย บางคนก็ต้องใช้เวลาสักหน่อย ทำไมจึงต้องบอกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคนไทยควรได้ปัญญาเพราะเมื่อเวลามีปัญหาต้องใช้ปัญญาแก้ เวลาเราใช้อารมณ์ในการตัดสินใจทำอะไรบางอย่างผลสะท้อนกลับออกมาเป็นอย่างไร เราต้องการให้ลูกน้องทำงานแต่เวลาประชุมด่าเอาๆความดีไม่มีปรากฏเลยหรือบางทีใช้แต่วาจารุนแรง คนงานหมดกำลังใจทำงานหรือบางทีก็ทำด้วยความกลัวกลายเป็นเกิดภาวะความเครียดกันทั้งบริษัท
ปัญญาคือความรอบรู้นั้นคือรู้แล้วต้องทำถูกด้วยถ้าบอกว่าผมรู้แล้วไม่ต้องบอกแต่อดไม่ได้นี้ไม่ใช่ปัญญาอันนี้เป็นมูลโมหะอวิชชาขั้นทึบเลยนะ เพราะรู้แล้วแต่แก้ทุกข์ให้ตัวเองไม่ได้ ฉะนั้นปัญญาคือสิ่งที่รู้รอบโดยแจ้งชัดแล้วสามารถที่จะแก้ปัญหาให้แก่ตัวเองได้
เราผ่านอะไรมาบ้างประเทศไทยผ่านเหตุการณ์ที่อาจเรียกได้ว่าวิกฤติ บางคนอาจจะบอกว่าเป็นพัฒนาการของสังคม อาตมาว่าถ้าหากเราจะมีพัฒนาการถึงขั้นที่เรียกว่าความเจริญทำไมคนพูดกันไม่รู้เรื่อง พุทธศาสนิกชนจึงอย่าได้ละเลยปัญหานี้จึงสมควรที่จะได้หยิบยกขึ้นมาพิจารณาไม่ว่าจะเป็นปัญหาสังคม เศรษฐกิจ หรือปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเรา
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นพระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้มองโลกเอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ ถ้าหากเรามาศึกษาคำสอนของพระพุทธศาสนาถ้าเราศึกษาไม่คลอบคลุมก็จะมองว่าพระพุทะศาสนานี้สอนให้คนเป็นทุกข์มองโลกในแง่ร้ายเหมือนที่ชาวตะวันตกมองพระพุทะศาสนาในยุคต้นๆการมองโลกการมองความเป็นไปในโลกพระพุทธเจ้าสอนสาวกให้รู้แจ้งชัดตามเหตุปัจจัยไม่ให้เอาความคิดเราไปยึดติดไปบอกว่าไม่ให้มันเป็นไม่ให้มันเกิดขึ้นอันนี้ไม่ใช่และไม่ควรที่พุทธศาสนิกชนจะเข้าใจอย่างนั้น สิ่งที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่พุทะบริษัทให้เข้าใจคือความจริงของโลกที่เรียกว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ คือมองโลกตามความเป็นจริง ถ้ามันจะเกิดขึ้นมันก็มีเหตุให้เกิดขึ้นถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะดับลงไปก็ดับเพราะเหตุนั้นดับลง
ถ้าเราเห็นรับรู้ตามความจริงเราไม่ได้เอาความอยากมีอยากเป็นของเราไปกำหนด ความยินดียินร้ายต่อสิ่งทั้งหลายก็ไม่มี นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ ความสงบเกิดขึ้นอยู่ที่ไหนก็มีความสงบเพราะใจเราสงบแล้ว
เราจะแก้ปัญหาความแตกสามัคคีเราต้องเห็นว่าโทษของความไม่ลงรอยกันก่อนว่าอะไรคือโทษของความไม่สามัคคี มดทำรังช่วยกันทำไม่เกี่ยงกัน เวลามีปัญหาเรียนหน้ากันมาสู้ตัวเล็กแต่ใจใหญ่ใครมารังควานรังไม่ได้ ตอนเด็กๆที่เราชอบไปแหย่รังมันเล่น มดตัวเล็กๆนี้ละกรูเข้ามาช่วยกัน ถึงแม้ว่ามันจะสู้เราไม่ได้แต่มันก็ทำให้เราเจ็บแสบได้เหมือนกัน มีพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า
ปเร จ น วิชานนฺติ
มยเมตฺถ ยมามฺหเส
เย จํ ตตฺถ วิชานนฺติ
ตโต สมฺมนฺติ เมธคา
คนพวกอื่นไม่รู้ดอกว่า เราทั้งหลายย่อยยับอยู่ (เพราะการทะเลาะวิวาทกัน) ส่วนพวกใดรู้เห็นโทษของการทะเลาะวิวาท ความหมายมั่นซึ่งกันและกันก็ย่อมระงับลง
ที่ไหนเกิดความแตกแยกกันย่อมหาความสุขสบายได้ยากเราจึงต้องเห็นโทษของความไม่สมัครสมานสามัคคีเพราะให้โทษแต่ฝ่ายเดียวไม่มีคุณเลย แล้วคนมีความรู้เขาถกเถียงกันไหมเขาก็ว่ากันนะแต่ไม่ได้ด่ากันใส่ร้ายกัน อย่างพระพุทธเจ้าเราเวลามีเจ้าลัทธิเจ้าศาสดาถกปัญหาหรือเวลาเขาด่าเขาว่าพระพุทธเจ้าไม่โกรธไม่ว่าผู้นั้นเลย เพราะพุทธเจ้าเห็นโทษของการทะเลาะวิวาทว่าเป็นภัย เราจะอยู่อย่างไรให้มีความสุขในยามที่เศรษฐกิจถดถอย ในยามที่ชีวิตเดินอยู่ในวังวนของปัญหาหาทางออกไม่ได้ มองไปไหนมืดไปหมด สติ สมาธิ ปัญญานี้จึงสำคัญ เกิดอะไรขึ้นต้องตามรู้ดูให้เห็นไม่อย่างนั้นจะนอนเป็นทุกข์ นอนบนเตียงนุ่มๆตากแอก็ไม่สบายถ้าใจมันกระวนกระวาย บินลัดฟ้าไปเที่ยวถึงยุโรปตั้งใจว่าจะไปหาความสุขกันก็ไม่มีความสุขถ้าใจมันรั่ว
ความสุขมันจึงอยู่ที่ตัวเราและเราจะมีความสุขได้ก็เพราะมีปัญญา ปัญญาตัวนี้เกิดจากการมองโลกตามความเป็นจริง เห็นคุณและโทษอย่างแจ้งชัดความโลภเกิดขึ้นถ้ามีปัญญาก็จะเห็นว่าความอยากได้ของผู้อื่นไม่ใช่ของตนหรือที่มันอยากมากเกินไปจนต้องตะเกียกตะกายหาเอามาจนได้ทุกวิถีทางบางทีได้มาโดยทุจริตมันจะก่อโทษแก่ตัวเรา เมื่อเรามีปัญญาเห็นภัยที่จะเกิดขึ้นความอยากได้ซึ่งของอันเจ้าของมิได้ให้นั้นก็จักหายไปเกิดเป็นผู้มีเทวธรรมคือหิริความละอายแก่ใจ โอตตัปปะความเกรงกลัวต่อผลของบาป ทำให้เราเป็นผู้มีศีลสมบรูณ์ เมื่อเราเป็นผู้ยังศีลของตนให้บริบูรณ์ความสุขจากการไม่มีการเบียดเบียน เราไม่ได้เป็นผู้เบียดเบียน ผู้อื่นก็ไม่ได้มาจองล้างจองเวรเรา ความสบายผาสุกก็เกิดขึ้น นั่นก็คือคำตอบว่าอยู่อย่างไรให้มีความสุข
เราจะแสวงหาความสุขกันที่ไหน ถ้าไม่ค้นหาที่ตัวเรา มีพระราชาเมืองหนึ่ง พระองค์มีความทุกข์มากปกครองบ้านเมืองมามีปัญหามากมายเหลือเกิน ไม่มีความสุข หันไปถามนายกรัฐมนตรีว่ามีความสุขไหมได้ตำแหน่งนายกมาใหม่ๆสงสัยจะมีความสุข ขอหน่อยมีไหม นายกก็บอกว่า เป็นนายกก็ไม่มีความสุขเลยพระเจ้าข้า ไม่รู้ว่าจะโดนประท้วงเมื่อไหร่ ค่าแรง ๓๐๐ จะทำได้ไหม ปัญญาหาเยอะเหลือเกิน พระราชาหันไปมองนักธุรกิจ นักธุรกิจก็บอกว่าไม่มีความสุขพระเจ้าข้า ตอนนี้หุ้นวิ่งขึ้นวิ่งลง ไม่รู้ว่าจะติดลบหรือจะบวก รอลุ้นอยู่ยังไม่มีความสุขพระเจ้าข้า พระราชานี้ยังไม่หมดหวังซะทีเดียว พระองค์ได้ยินมาว่าในโลกนี้มีเสื้อแห่งความสุข พระองค์จึงได้ตั้งให้อำมาตย์พาทหารออกตามล่าหาความสุข เพราะเขาล่ำลือกันว่ามีเสื้อตัวหนึ่งใครได้สวมใส่แล้วจะมีความสุข เหล่าอำมาตย์หาอย่างไรก็หาไม่เจอ หมดหวังแล้ว วันหนึ่งไปเจอคนขอทาน นั่งอยู่ปากก็ร้องบอกว่า สุขจริงหนอๆๆ พวกทหารก็เข้าไปถามว่าท่านนี้ก็เป็นคนยากจนทำไมบอกว่าสุขจริงหนอๆทหารก็เอาเรื่องนี้ไปเล่าถวายให้พระราชาฟังพระราชาได้ฟังก็เข้าใจว่า ความสุขไม่ได้อยู่ที่เสื้อ ไม่ได้สำคัญว่าเรามีเงินทองมากมายล้นฟ้า มันอยู่ที่ใจเรานี้เอง
“ความสุขและทุกข์มีอยู่คู่กับโลก
จะย้ายโยกไปแห่งหนตำบลไหน
จะสุขบ้างทุกข์บ้างช่างเป็นไร
จะทำใจให้เศร้าไม่เข้าการ”
ถ้าเรากำลังจะมองหาความสุขอย่าไปคาดหวังเลยอนาคตมากนักเพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เงินจะออกสิ้นเดือนนี้จะใช้ให้คุ้มสุดๆอย่างนี้เรียกได้ว่าตั้งอยู่ในความประมาท แค่เราใช้เวลาในปัจจุบันใช้ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์มีปัญญาเห็นเหตุเสื่อมเหตุของความเจริญความสุขมันก็อยู่กับเราเป็นของเรา ชีวิตเราก็จะมีแต่ความสุข เพราะเราตอบไม่ได้หรอกว่าเราเรียนจบแล้วเราจะมีความสุข เราเป็นดร.เราจะมีความสุข ปัจจุบันจึงสำคัญที่สุด ปัจจุบันที่ใจ เปรียบเหมือนการเดินทางขึ้นเขาสูงๆเราก็ตั้งใจว่าจะไปชมวิวบนยอดดอยใจเราก็ตั้งหน้าตั้งตาเดิน นึกถึงแต่ยอดดอย คนที่เดินไปด้วยกันไม่ด้วยพูดได้คุยกัน บางทีเราตั้งใจมากไม่พักเลยเห็นคนอื่นนักพักนั่งคุยกันก็ไม่ยอมหยุดเดินก้มหน้าเดินอย่างเดียว คนอื่นเขาหยุดทักทายกันบ้างแบ่งน้ำแบ่งอาหารให้กันบ้าง เขาก็มีความสุขด้วยกันเผื่อแผ่กัน แต่เรากลับรู้สึกเหนื่อยมากเราลืมดูความสวยงามระหว่างข้างทางเดินขึ้นบนยอดเขาว่ามีอะไรบ้าง ความสุขมันก็อยู่ที่เราความทุกข์มันก็อยู่ที่เรา ทั้งสุขทั้งทุกข์เราเป็นคนรับรู้เองหมด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนทำใจของเราให้เป็นสุขๆอย่าทำสิ่งที่จะก่อเวรเป็นภัยให้ตัวเองและผู้อื่น เช่นนี้ความสุขในชีวิตความสุขในการอยู่ร่วมกันก็เกิดขึ้นได้
คนทั้งหลายต้องการความสุข วิธีแสวงหาความสุข
คนทั้งหลายต้องการความสุข วิธีแสวงหาความสุข
ชาวพุทธเราได้ยินได้ฟังอยู่เสมอว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เป็นคำสอนขั้นต้นๆเรียกว่าเป็นความเชื่อพื้นฐานของชาวพุทธ คำสอนเรื่องกรรมและผลของกรรมในคติของชาวพุทธไม่ใช่เรื่องงมงายมีความสำคัญอย่างมากต่อพื้นฐานความคิดและการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน เวลาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงสั่งสอนอะไรพระองค์จะชี้แจงแสดงเหตุผลให้แก่สาวกของพระองค์อยู่เสมอ บางเรื่องเข้าใจผิดพระองค์ก็นำมาปรับปรุงใหม่ชี้แนะแนวทางการปฏิบัติใหม่ ดังตัวอย่างของมานพคนหนึ่งหลังจากที่บิดามารดาล่วงลับไปได้สั่งเสียลูกชายว่าถ้าวันไหนที่แม่ไม่อยู่ให้ลูกบูชาทิศทั้งหลายถ้าทำได้อย่างนี้ลูกจะมีแต่ความสุขความเจริญ ลูกชายพอแม่สิ้นใจไปก็ทำตามคำสั่งสอนด้วยกตัญญู ทุกเช้าทุกเย็นก็จะออกมากราบไหว้ทิศทั้งหลายก่อนออกจากบ้าน ก่อนไปทำงานก็จะกราบไหว้ทิศต่างๆตามคำสั่งสอนของแม่ วันหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จผ่านมาเห็นกิริยาอาการของมานพหนุ่มนั้นก็ได้มีเมตตาแสดงธรรมชี้แจงเหตุผลให้ฟังจึงปรากฏเป็นพระธรรมเทศนาเรื่องทิศ ๖ ในสิงคาลกสูตร เมื่อมานพได้ฟังก็เข้าใจ จึงเลิกเปลี่ยนวิธีที่ตัวเองทำอยู่อย่างปกติเห็นเป็นเรื่องงมงายหันมากระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงกว่า จากเรื่องนี้ย่อมจะเห็นว่าพระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เรางมงาย พระพุทธเจ้าสอนเรื่องกรรมไม่ได้สอนให้เรางมงมงายแต่สอนให้เราปฏิบัติตัวเองให้ถูกต้อง เพราะคนเราต้องการความสุขความเจริญเข้ามาในชีวิต แต่กระทำสิ่งที่ไม่ได้นำความเจริญความสุขเข้ามาก็หาความสุขไม่เจอความเจริญในชีวิตก็ไม่เกิดขึ้น
พระพุทธศาสนาไม่ใช่ทฤษฎีทางความคิดแต่พระพุทธศาสนาครอบคลุมไปถึงวิถีชีวิตที่เรียกว่า การดำรงชีวิต way of life ฉะนั้น คนที่เข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนาเฉพาะส่วนคำสอนไม่นำไปปฏิบัติจึงได้ชื่อวาไม่เข้าถึงพระพุทธศาสนาไม่ได้ชื่อว่าพุทธศาสนิกชนอย่างแท้จริง
ศรัทธาในทางพระพุทธศาสนามีสี่อย่าง คือ
กัมมสัทธา เชื่อกรรม เชื่อกฎแห่งกรรม เชื่อว่ากรรมมีอยู่จริง คือ เชื่อว่า เมื่อทำอะไรโดยมีเจตนา คือ จงใจทำทั้งรู้ ย่อมเป็นกรรม คือ เป็นความชั่วความดีมีขึ้นในตน เป็นเหตุปัจจัยก่อให้เกิดผลดีผลร้ายสืบเนื่องต่อไป การกระทำไม่ว่างเปล่า และเชื่อว่าผลที่ต้องการ จะสำเร็จได้ด้วยการกระทำ มิใช่ด้วยอ้อนวอนหรือนอนคอยโชค เป็นต้น
วิปากสัทธา เชื่อวิบาก เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าผลของกรรมมีจริง คือ เชื่อว่ากรรมที่ทำแล้วย่อมมีผล และผลต้องมีเหตุ ผลดีเกิดจากกรรมดี ผลชั่วเกิดจากกรรมชั่ว
กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน เชื่อว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของ จะต้องรับผิดชอบเสวยวิบาก เป็นไปตามกรรมของตน
ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มั่นใจในองค์พระตถาคต ว่าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงพระคุณทั้ง ๙ ประการ ตรัสธรรม บัญญัติวินัยไว้ด้วยดี ทรงเป็นผู้นำทางที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ คือเราทุกคนนี้ หากฝึกตนด้วยดีก็สามารถเข้าถึงภูมิธรรมสูงสุด บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ดังที่พระองค์ทรงบำเพ็ญไว้
พระพุทธศาสนามีหลักคำสอนที่ชี้แนะแนวทางให้พุทธศาสนิกชนนำไปปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายในสังสารวัฏ การกระทำคือตัวชี้วัดความสุขในชีวิตของเราอธิบายว่ากรรมที่เราทำไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมเป็นเหตุถ้าเราทำกุศลกรรมก็จะได้รับผลคือความสุข เช่นเดียวกันถ้าเราทำอกุศลกรรมก็จะได้รับผลคือความทุกข์ ธรรมดาว่าคนเรารักสุขเกลียดทุกข์จึงต้องแสวงหาความสุขมาใส่ตัว ความสุขที่เราเพียรหากันมาเสพเสวยนี้ได้มาอย่างไร บางคนก็ได้ทรัพย์มาจากการทุจริตคดโกง บางคนก็ได้มาจากหน้าที่การงาน คนที่ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ก็ถือว่าได้มาเพราะความขยันหมั่นเพียรเป็นที่น่าอนุโมทนา แต่บางคนได้มาจากการเบียดเบียนผู้อื่นอย่างนี้ชื่อว่าแสวงหาความสุขในทางที่ผิด เมื่อถึงกาลที่กรรมให้ผลย่อมจะร้อนทุรนทุรายกินอยู่ไม่ได้ จึงไม่มีความสุข ดังนั้นทางแห่งความสุขของชาวพุทธก็คือก็คือการแสวงหาปัจจัยการดำรงชีพด้วยความสุจริตอันนี้ก็คือเราประพฤติธรรมนั่นเอง ถ้าเรารักสุขเกลียดทุกข์ต้องทำตัวให้ห่างไกลความเสื่อมที่จะนำพาชีวิตเราไปตกอบายขั้นต่ำ การจะพบความสุขในชีวิตอย่างง่ายๆของชาวพุทธเราก็คือละเว้นเหตุของความเสื่อม ถ้าละเว้นเหตุของความเสื่อมนี้ได้ชีวิตเราก็จะเจริญรุ่งเรือง เพราะเราไปมัวยุ่งกับความเสื่อมนี้ชีวิตเราจึงมัวหมองไม่ผ่องใสท่านพุทธทาสได้เขียนกลอนท่านบทหนึ่งไว้ว่า
“สมัยนี้โลกกล้าอย่างป่าเถื่อน
จะรวบเดือนดาวใสในกระเป๋า”
เห็นจะจริงดังท่านว่าไว้คนเราอยากได้อะไรมากมาย จะเอาดาวเอาเดือนมาใส่ไว้ในกระเป๋า ไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดี โกงเขามาอย่างนี้ ทำร้ายเขามาอย่างนี้สุดท้ายมันก็ไม่เป็นสุขแสดงว่าวิธีที่ทำมาไม่ใช่หนทางแห่งความสุข หนทางแห่งความสุขของชาวพุทธคือมัชฌิมปฏิปทา คนเราต้องการความสุขกันทุกคนแต่แสวงหาความสุขไม่ถูกวิธีจึงไม่พบความสุข เหมือกับเราจะเดินไปเชียงใหม่ทางที่จะไปอยู่ทางเหนือเราเดินไปทางทิศตะวันออก เดินจนขาหักก็หาก็ไปไม่ถึง เช่นกันทางแห่งความสุขนี้มีอยู่แล้วเราไม่เดินไปตามทางนั้นไปเดินทางคนละเส้นก็หาความสุขไม่เจอ เรามาเจอหน้ากันถามกันว่านายมีความสุขไหม เธอมีความสุขไหม ก็ตอบกันอย่างหน้าชื่นอกตรม ไอ้เราเห็นว่าที่ทำกันดูท่าเขาจะมีความสุขแต่พอได้รับรู้สัมผัสทำไมมันร้อนขึ้นมาอยู่ไม่ได้ พอเจอกันอีกก็คุยกันว่าทางไปหาความสุขอยู่ที่ไหน ก็ชี้กันไปว่า นั่นไงเห็นว่ามีคนไปเจอนะ เขาว่าเป็นพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่าอย่างนี้นะ ปลงนะ วางนะ ทำหน้างงเป็นลิงส่องแว่น ทำไม่เป็นทำอย่างไรหว่า ถามว่าทุกวันนี้เราเดินทางตามข้อปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าสอนไหม ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติตามถือว่าเราห่างไกลนะ ห่างจนไม่รู้ว่าจะชื่อมหากันอย่างไร ฉะนั้น ขอให้เราหยุดปิดอบายเสียแต่ตอนนี้เลย
เรานั้นประกาสตนเป็นพุทธศาสนิกชนย่อมรู้แล้วว่าอะไรคือทางแห่งความสุขอะไรคือทางแห่งความเสื่อม พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านตรัสไว้แสดงไว้ซึ่งธรรมอันประเสริฐ ใครปฏิบัติได้ย่อมรู้ย่อมเห็นสมควรตามที่ท่านได้แสดงไว้ อะไรที่รู้ที่ทำผิดไปก็ละ เลิก ทิ้งเสีย อย่าไปข้องแวะอีก เราเป็นผู้ฉลาดต้องแยกแยะธรรมที่เป็นเหตุดีเหตุเสื่อมได้ ประโยชน์อะไรที่ควรประกอบไว้ในปัจจุบันก็ให้หาให้ขวนขวายใส่ตัว ประโยชน์อันใดที่จะส่งเสริมตัวเองให้เจริญในอนาคตก็ให้รีบทำ ถ้าเรามัวประมาทไม่ประพฤติปฏิบัติกันธรรมที่สมควรได้ก็ไม่ได้ ความเจริญในคุณงามความดีในพระศาสนาก็ไม่เกิดแก่เรา ความสุขมรรคผลนิพพานก็ไม่เกิดมีแก่เรา
พระพุทธเจ้าบอกให้หาความสุขอย่างไร สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย การสั่งสมบุญนำสุขมาให้ อะไรที่เป็นบุญเป็นกุศลให้เราขยันทำอะไรที่เป็นอกุศลให้เราขยันละ ขยันเลิกไป อย่าหาไฟมาสุมตัวเอง
อาตมาคุยกับโยมคนหนึ่ง โยมคนนั้นบอกว่าที่ผมมีความสุขทุกวันนี้เพราะผมยึดเอาอักษร ๓ ตัวมาใช้ อักษร ๓ ตัวนั้นคือ พ ห ช โยมคนนั้นถามหลวงพี่ว่าหลวงพี่รู้ไหมว่าแปลว่าอะไร อาตมาตอบว่าไม่ทราบ โยก็เลยบอกว่า
“พ” นี้คือรู้จักพอ อาตมาก็นึกถึงพุทธภาษิตตรัสว่า สนฺตุฏฐี ปรมํ ธนํ ความรู้จักพอเป็นยอดทรัพย์ คนรวยหรือจนบางทีอยู่ที่ความรู้สึก ถ้าเรารู้สึกขาดประจำทั้งๆที่มีพอกินพอใช้อยู่แล้วนะแต่ยังอยากได้อีก เห็นเขามีอยากจะมีอย่างเขาอย่างนี้เขาเรียกคนไม่รู้จักพอ จึงจนอยู่ตลอด
ความไม่พอใจจนเป็นคนเข็ญ
พอแล้วเป็นเศรษฐีมหาศาล
จนทั้งนอกจนทั้งในไม่ได้การ
ต้องคิดอ่านแก้จนเป็นคนพอ
ห คือ รู้จักให้ สังคมเราอยู่ได้เพราะมีการให้ ประเทศชาติเราต้องการคนดีเสียสละเพื่อบ้านเมือง ถ้าคนที่ไปทำงานหวังประโยชน์ส่วนตัวอะไรๆก็จะเอา ทุกคนคิดแต่ได้ประเทศก็ไปไม่รอด ทุกคนจึงต้องรู้จักให้กัน อยู่ด้วยกันมีปากมีเสียงบ้างให้อภัยกัน ยอมรับผิดกัน ไม่ว่าร้ายไม่ทำร้ายอย่างนี้เราก็อยู่กันได้ไม่ต้องกังวล ให้ความรักความเมตตาต่อกัน คนเราอาศัยกันจึงต้องปฏิบัติต่อกันด้วยความมีเมตตาท่านจึงบอกว่า เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เพราะคนเรายังมีการให้มีเมตตากันจึงไม่จับมีดจับปืนลุกขึ้นฆ่ากัน ที่เรายังอยู่เป้นสุขทุกวันนี้เพราะเรายังไม่ขาดธรรมข้อนี้เอง ดังนั้นถ้าเราอยากอยู่อย่างสบายต้องให้เมตตาแก่กัน กล่าวต่อกันด้วยเมตตา กระทำต่อกันด้วยเมตตา คิดต่อกันด้วยเมตตา สังคมก็อยู่ต่อไปได้
ช สุดท้ายคือช่างเถิด อันนี้ถือว่าสุดยอดเลย อะไรบ้างที่เกิดขึ้นกับเราเราเก็บมันมาไว้ไม่ได้ปล่อยออกไปเลยมันเลยเป็นทุกข์ เจอรถติดนั่งอยู่ในรถใจกระวนกระวายโทษรัฐบาล โทษคนขับ มองไปไหนมีแต่ปัญหา คำว่าช่างเถิดนี้สอนให้เรารู้จักปล่อยวางอย่างหนึ่งเป็นวิธีทำใจที่ได้ผล ล่าสุดนี้เห็นข่าวมาว่า ไปเติมน้ำมัน พอพูดไม่ถูกใจกันเท่านั้น ชักปืนมายิงกัน หลวงพ่อชา ท่าจึงบอกว่า เวลาโกรธโมโหขึ้นมา ดอกเตอร์หรือป.๔ก็โง่พอๆกันอะไรที่วางได้ก็หัดวางลงไปคำสรรเสริญนินทาก็อย่าไปจับไปถือเอามายึดเพราะสิ่งนี้เป็นโลกธรรมมีเสื่อมไป ไม่แน่นอน สมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ อาสภมหาเถร )ท่านได้ประพันธ์กลอนบทหนึ่งไว้ว่า
ใครชอบใครชังช่างเถิด
ใครเชิดใครชูช่างเขา
ใครด่าใครบ่นทนเอา
ใจเราร่มเย็นเป็นพอ
เราเป็นชาวพุทธต้องมีปัญญาความสุขมันอยู่ไม่ไกลนักหรอก ปัจจุบันนี้คือโมงยามแห่งความสุข เราต้องมีสติรู้ทัน ความสุขมันซ่อนอยู่ที่ไหนมันอยู่ที่ใจเรา เราไปตามหาที่คนอื่นก็ไม่เจอ ไปหาที่เกาหลีก็ไม่เจอ ยิ่งถ้าเราเดินทางคนละเส้นกับความสุขแล้วยิ่งออกห่างจากความสุข สังเกตที่เราว่าเราเริ่มออกหากจากความสุขหรือยัง เราใส่ใจดูแลตัวเองไหม ชำระอกุศลในใจเราไหม ออกหากจากพระธรรมไหม น้อมนำธรรมะมาปฏิบัติไหม เราสร้างความดีใส่ตัวใหม่ความสุขเราเป็นคนเดินเข้าหาความทุกข์เราก็เป็นคนเดินเข้าหา เราจะเดินเข้าหาความทุกข์หรือความสุข
ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมอันบุคคล
ประพฤติดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรม
อันบุคคลประพฤติดีแล้ว ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่ไปสู่
ทุคติ สภาพทั้งสองคือ ธรรมและอธรรม ย่อมมีวิบาก
ไม่เสนอกัน อธรรมย่อมนำไปสู่นรก ธรรมย่อมนำให้ถึง
สุคติ เพราะฉะนั้นแหละ บุคคลเมื่อบันเทิงอยู่ด้วยการ
ให้โอวาทที่พระตถาคตผู้คงที่ตรัสไว้อย่างนี้ ควรทำความ
พอใจในธรรมทั้งหลาย เพราะพระสาวกทั้งหลายของ
พระตถาคตผู้ประเสริฐ เป็นนักปราชญ์ ตั้งอยู่แล้วใน
ธรรม นับถือธรรมว่าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐสุด ย่อมนำตน
ให้พ้นจากทุกข์ได้ ผู้ใดกำจัดรากเหง้าแห่งหัวฝี ถอนข่าย
คือตัณหาได้แล้ว ผู้นั้นเป็นผู้สิ้นสงสาร ไม่มีกิเลสเครื่อง
กังวลอีก เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญปราศจากโทษ
ฉะนั้น.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)