วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

ทำไฉนหนอ การทำที่สุดแห่งทุกข์จะพึงมีแก่เราได้

สิ้นสุดที่ธรรม ที่สุดแห่งทุกข์คือที่สุดของการดับแห่งกระแสของปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าตรัสว่าเพราะเราไม่รู้อริยสัจจ์ ๔ จึงไม่สามารถทำที่สุดของการดับทุกข์ได้ "ชนเหล่าใด ไม่รู้ทั่วถึงซึ่งทุกข์ และเหตุเกิดแห่งทุกข์และ ธรรมเป็นที่ดับแห่งทุกข์ทั้งปวงโดยไม่เหลือ และหนทางเป็นที่ถึงซึ่ง ความเข้าไปสงบแห่งทุกข์; ชนเหล่านั้น พลาดแล้วจากเจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตติ ไม่สมควรที่จะกระทำที่สุดแห่งทุกข์ มีแต่จะ เข้าถึงซึ่งชาติและชรา. ส่วนชนเหล่าใด รู้ทั่วถึงซึ่งทุกข์ และเหตุเกิดแห่งทุกข์ และ ธรรมเป็นที่ดับแห่งทุกข์ทั้งปวงโดยไม่เหลือ และหนทางเป็นที่ถึงซึ่ง ความเข้าไปสงบแห่งทุกข์; ชนเหล่านั้น ถึงพร้อมแล้วด้วยเจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตติ สมควรที่จะกระทำที่สุดแห่งทุกข์ ไม่เข้าถึงซึ่งชาติ และชรา". - มหาวาร.สํ. ๑๙/๕๔๒/๑๗๐๐ – ๑๗๐๒ คนเราทั้งหลายต่างก็ดำเนินชีวิตอยู่เหมือนกันต่างก็ทำกิจกรรมการงานของตนเพื่อคำว่าพ้นทุกข์แต่นั่นก็ไม่เคยพบเลย สุขบ้างทุกข์บ้างอย่างนี้อยู่เรื่อยไปเกิดเบื่อๆอยากๆอย่างนี้พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าโลกเรามีทั้งสุขทั้งทุกข์ผสมปนกันไป มีทั้งอัสสาทะและอาทีนวะ พระพุทธเจ้าบอกให้ละเหตุแห่งทุกข์ไม่ใช่ให้หาทุกข์มาใส่ตัวอะไรคือความเสื่อมในกุศลธรรมพระพุทธเจ้าบอกไว้อย่าทำให้ละส่วนอันไหนที่เป็นกุศลที่จะเพิ่มพูนอรรถประโยชน์แก่ตัวเราได้พระพุทธเจ้าเรียกว่าภาวนาให้เพียรสร้างทำให้เจริญงอกงามขึ้นไม่ให้ละ อัสสาทะคือโทษของกาม อาทีนวะคือคุณของกาม นิสสรณคือทางออกอุบายอันเป็นเครื่องออกจากทุกขเวทนา จึงเกิดคำถามว่าทำอย่างไรจึงจะออกจากทุกข์ได้มีพุทธพจน์ตรัสเยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า ภิกษุ ท ! สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ไม่รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่ง อัสสาทะแห่งเวทนาทั้งหลายโดยความเป็นอัสสาทะด้วย ซึ่งอาทีนวะโดยความเป็นอาทีนวะด้วย ซึ่งนิสสรณะโดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้ อยู่ ; สมณะหรือ พราหมณ์เหล่านั้นน่ะหรือ จักรอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชวน ผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว ดังนี้นั้น : นั่นไม่เป็นฐานะ ที่มีได้. ภิกษุ ท ! ส่วน สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งอัส สาทะ แห่งเวทนาทั้งหลายโดยความเป็นอัสสาทะด้วย ซึ่งอาทีนวะโดยความเป็นอาทีนวะ ด้วย ซึ่งนิสสรณะโดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้ อยู่ ; สมณะหรือ พราหมณ์เหล่านั้นน่ะแหละ จักรอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชวน ผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว ดังนี้นั้น : นั่นเป็นฐานะที่ มีได้. หลักการของพระพุทธศาสนาถือหลักปฏิบัตินั้นสำคัญ การศึกษาพระพุทะศาสนาขาดการปฏิบัติไม่ได้ หากขาดการปฏิบัติย่อมไม่สามารถเข้าถึงหัวใจของพระพุทะศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็ได้ประกาศหลักนี้แก่ชาวโลก เพื่ออนุเคราะห์ประโยชน์สุขแก่ชาวโลกโดยทั่วกัน หลักของศีล สมาธิ ปัญญาล้วนเป็นหลักเพื่อขจัดความทุกข์ พระพุทธเจ้าเรียกการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์นี้ว่า “พรหมจรรย์” ผู้ปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญานี้จึงเรียกว่าผู้ประพฤติพรหมจรรย์ การปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์สิ้นทุกข์ทั้งปวง การดับทุกข์ได้พระพุทะศาสนาถือว่าเป็นยอดสุขทั้งปวง นิพพานํ ปรมํ สุขํ ขอให้เราเข้าใจว่าการปฏิบัติที่ถูกต้องเท่านั้นจึงจะเป็นแนวทางให้เราเข้าถึงประโยชน์ของชีวิตได้ เราลองพิจารณาตัวเราเองเถิดว่าได้ประพฤติปฏิบัติตามมัชฌิมปฏิปทาไหม ปฏิบัติถูกหรือไม่ ชีวิตเราวุ่นวายอยู่ไม่สงบอย่างนี้เพราะอะไรรู้สาเหตุแล้วก็พึงเว้นเหตุนั้นน้อมเอาอริยมรรคไปปฏิบัติ ถ้าเราพากันห่างธรรมความสุขก็หายากไม่บังเกิด การปฏิบัติสมควรแก่ธรรมนี้แลคือหนทางที่จะดับทุกข์ได้ ไม่ต้องพิจารณาสิง่อื่นสิ่งไหนไกล ความเห็นความเป็นต่างๆที่เกิดขึ้น เราเคยได้ยกขึ้นสู่ใจมาพิจารณากันไหม พิจาราตามความเป็นจริงหรือไม่ ความโลก ความโกรธ ความหลง ความเกิดอย่างนี้ ความแก่อย่างนี้ ความตายอยงนี้ ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย มันอยู่ที่เรา พิจารณาทุกข์คือพิจารราสิ่งที่มันเกิดขึ้น สังเกตไม่ชอบบ้าง ชอบบ้างมันเป็นอย่างไร ไม่เคยพิจารณาความตายว่าชีวิตนั้นสั้นนัก ความตายนี้จักมีแก่เราแก่ลูก แก่หลานเราเห็นดังนี้จึงเห็นความตายเป็นธรรมดาเป็นความจริงแปรเป็นอื่นไม่ได้ เห็นความแก่ในตัว เห็นอนิจจํ สติก็จักเกิดขึ้นทำให้เราสามารถกั้นความหลงได้ ตื่นจากความหลงในกามได้ ลุกขึ้นมาทำความเพียรปฏิบัติกุศลกรรทำประโยชน์สุขได้สมบรูณ์ การที่เรายังไม่เข้าใจธรรมการปฏิบัติตามธรรมจึงไม่ถูกหนักกว่านี้คือคนที่ไม่พยายามเข้าใจเลยอย่างนี้เรียกว่าห่างไกลกันมาก เรานี้เป็นชาวพุทธนับถือพระพุทธเจ้าแล้วการปฏิบัติตามคำสอนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ศีลธรรมนี้ละไม่ได้วางไม่ได้ต้องยึดไว้ ปฏิบัติกันให้มากเพิ่มพูนให้ยิ่งขึ้นไป หมั่นสำรวจตัวเองอยู่เสมอแล้วจะรู้ว่าเราขาดอะไรควรเพิ่มอันไหน ควรรักษาอันไหนให้เจริญยิ่งขึ้นไป ศีลที่ขาดไปด่างพล้อยไปก็จักได้สำรวมมากขึ้น อย่างนี้เรียกว่ารู้จักฉลาดในการปฏิบัติ ความเจริญก็จักเกิดขึ้นในพระศาสนา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น