วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

ธรรมอันเป็นพลังและที่ตั้งแห่งความสำเร็จ

ฉันทะธรรมนี้สำคัญเป็นที่หยั่งลงของความสุขและประโยชน์ความขยันความยินดีพึงมีได้เพราะมีฉันทะ ทำงานไม่เหน็ดเหนื่อยไม่ท้อเพราะมีฉันทะเพราะรักเพราะความพอใจ อย่างหลวงพ่อปัญญาท่านทำงานด้วยฉันทะอายุ ๙๐ ไม่เหนื่อยไม่ท้อ ไม่หยุดเป็นตัวอย่างที่ดี ให้เราคนหนุ่มมีไฟเอาเป็นแบบอย่าง บางคนเพราะขาดฉันทะจึงไม่เห็นคุณค่าของชีวิตของหน้าที่จึงไม่ได้ความสุขไม่ได้ประโยชน์จากชีวิตจากหน้าที่ของตน พระศาสดาท่านบอกว่าท่านเป็นผู้มีฉันทะอยู่เสมอเริ่มตั้งแต่ออกแสวงหาโมกขธรรมแล้ว ฉันทะที่ไม่เคยลดละไม่มีคำว่าเกียจคร้านไม่มีคำว่าท้อมีแต่คำว่าสู้ใหม่ เอาใหม่พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เราฟังแล้วก็สำเหนียกนึกย้อนมองดูเราเองนั้นและว่าเป็นผู้ปฎิบัติไหมอันที่จริงการปฏิบัติธรรมมันก็ไม่ยากก็เพียงแต่เอาธรรมนั้นมาประพฤติเข้าใจอย่างนี้ก็ทำถูกต้อง อยู่ไหนก็ปฏิบัติธรรมได้ ที่นี้มันก็สบายเพราะเรามีธรรมทุกที่เป็นผู้ฉลาดต้องไม่ขาดธรรมให้รู้จักทำ กล่าวถึงพระศาสดานี้ว่าไม่มีความลดละไม่เคยย่อท้อ ถ้าให้เราไปทำคงจะทำไม่ได้อย่างท่าน ก่อนพระศาสดาจะมาบำเพ็ญทุกรกิริยาแรกเริ่มก็ไปฝึกหัดลองทำตปสีวัตร วัตรอันแผดเผานั่งตะปูแก้ผ้าเมื่อตากแดดตากลมถ้าถึงฤดูหนาวก็ไปตากหิมะกินขี้วัว คลานเหมือนเด็กไปตามทางตามป่าเขาเจอมูลเจอมูตรก็เก็บเป็นอาหาร พระศาสดาปฏิบัติเป็นตัวอย่างว่าความเพียรนี้มีอำนาจจริง อำนาจไม่ใช่การข่มเหงกัน อำนาจนี้คืออำนวยผลอันยิ่งใหญ่มาให้ ถ้าพระศาสดาละความเพียรเสียก็คงไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพระศาสดาละความพอใจในการแสดงพระธรรมเทศนาเสีย ก็คงไม่มีพระธรรมอันนำสุขมาให้นำประโยชน์มาให้แก่เรานี้ เรามุ่งหวังทำการอันใดละฉันทะละความพอใจไม่ได้ขาดไม่ได้ ประการแรกสร้างฉันทะขึ้นมาให้ได้ก่อน สร้างเหตุให้เกิดมีปัจจัยที่ส่งต่อให้เกิดผล ย้ำอีกทีว่าฉันทะเป็นคุณสมบัติของพระผู้มีภาคเจ้า พระองค์มีฉันทะไม่ย่อถอยเป็นสัมมาสัมพุทธะนี้เพราะมีฉันทะเทศนาสั่งสอนตลอดพระชนมายุกาลก็เพราะฉันทะ เพราะฉันทะจึงทำให้การงานมีความสุข เรียนเป็นสุข ชีวิตเป็นสุข ถ้าจะหาเรื่องพัฒนาตัวเราก็เริ่มพัฒนากันที่ตรงนี้ พระศาสดาปฏิบัติจวนจะตายก่อนมาเป็นศาสดาเรา คลำทางปฏิบัติกว่าจะค้นพบมรรคผลเห็นว่าปฏิปทานี้นี้ไม่ใช้มรรคสิ่งนี้ไม่ใช้ทางควรดำเนิน อย่างเราทุกคนรุ่นหลัง ผู้ปฏิบัติตามหลังจะว่าเป็นโชคดีของเราก็ว่าได้เพราะมีพระสัทธรรมให้เราได้ศึกษาให้เราปฏิบัติในทางที่ถูกที่ควร พระพุทธองค์ชี้ทางให้แล้ว ทำทางให้เดินเหลือแต่เราเท่านั้นเดินไปไหม เข้าใจยากอยู่หรอกก็เหมือนกับคนไม่รู้อะไรมีคนบอกว่า ท่านเอ่ย ทำแบบนี้นะ รู้อย่างนี้นะ เราไม่เข้าใจก็ยืนทำหน้างง เพราะวิธีที่เราเคยทำมา เคยพากันเข้าใจนั้นมันคนละอย่าง ท่านบอกว่าวางของหนักเสียเน้อ ให้เข้าใจว่าความยึดมั่นถือมั่นคือของหนักนั้นเอง ธรรมนี้เมื่อบุคคลเห็นด้วยปัญญาแล้วจึงแจ่มแจ้ง ความเจริญในธรรมคือการประพฤติคือการพฤติธรรมนั่นแลอย่าพากันวางความเพียรเสีย การประพฤติธรรมนี้สำคัญ ผลนี้มีได้เพราะเจริญมรรคให้ดีแล้ว ท่านหลวงพ่อปัญญาท่านนับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เรา ดูครูบาอาจารย์ที่เรานับถือก็ได้ถึงท่านจะสังขารล่วงโรยมีภาระหนักก็ปฏิบัติวัตรอันเป็นการอนุเคราะห์ประโยชน์แก่มหาชน ความขี้เกียจนี้ไม่ใช่ธรรมของพระศาสดาไม่ใช่ธรรมที่จะนำความเจริญในพระศาสนานี้ ความเจริญเกิดได้ด้วยความขยัน เป็นพระขี้เกียจไม่ดี เป็นนายกขี้เกียจไม่ดี เป็นครูขี้เกียจไม่ดี เป็นนักเรียนขี้เกียจไม่ดี ความขี้เกียจนี้เสื่อมอย่างเดียว ลาภที่ควรได้ก็ไม่ได้ ยศนี้ควรจะปรากฏก็ไม่มีผู้ประพฤติอกุศลอันนี้ ย่อมจะเสื่อมลาภ เสื่อมจากยศ เสื่อมสุข

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น