วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554
รู้อดีต รู้อนาคตรู้ปัจจุบันรู้ให้ชัดเห็นให้ชัด
แก้ไข
อดีต อนาคต ปัจจุบัน รู้ให้ชัด
มีธรรม๓อย่างที่เราควรยกขึ้นมาพิจารณาให้เห็นชัด เพื่อจักได้กระทำให้เป็นที่พึ่งแก่ตัวเป็นสมบัติแก่ตัว เป็นการสอนใจตัวเองเอาไว้ไม่ให้ไปอยู่ไกลจากตัวเราคือ อดีต อนาคต ปัจจุบัน ๓อย่างเบื้อต้นนี้ปัจจุบันสำคัญที่สุดแต่ถ้าหากเราไม่ยกขึ้นมาพิจารณากันก็อาจจะเป็นเพราะความหลงลืมบ้าง ไม่รู้บ้าง มันก็จะทำให้เราหลงอยู่ในอารมณ์อดีตบ้าง อารมณ์อนาคตบ้าง เลยไม่ได้ทันพิจารณาปัจจุบันสักเท่าไหร่
คำว่าความปรุงแต่งมันก็คืออารมณ์ความคิดนั้นเองไปปรุงแต่ง ไม่มีอะไรปรุงแต่งให้มันดีหรือไม่ดีนอกจากตัวเรานี้ พิจารณาเพ่งเข้ามาก็คือตัวเราความคิดของเรา ของดี ของชั่วมันก็เกิดจากปรุงแต่งของเรา วิธีแก้ก็คือแก้ที่ความคิด คิดอย่างไรไม่ให้มันเป็นไปในความปรุงแต่งความยึด นั่นก็คืออย่าไปคิดอะไร ให้รู้ไว้ รู้คือรู้ รู้ก็รู้ดูเฉยๆ สักแต่ว่า ตามที่มันเกิด รู้ตามที่มันเป้นอย่างนี้ก็เรียกว่ารู้อยู่ในขณะปัจจุบัน
พระพุทธเจ้าท่านเคยอุทานไว้ว่าเราแสวงหาซึ่งนายช่างผู้ปลูกเรือน บัดนี้เรารู้แล้วเห็นแล้วมันคือตัวนี้เองคือตัณหา โอ้มันเป้นความหลง ท่านอุทานให้เห็นปรากฎชัดว่า บัดนี้เรามาเจอเจ้าเรารื้อโครงสร้างของท่านแล้วอย่างนี้เรียกว่ารู้เช่นเห็นชาติกันเลยทีเดียว ด้วยว่าพระองค์ได้พิจารณาธรรมได้รู้ว่าธรรมทุกอย่างมันไหลรวมมาสู่ใจ
ธรรมดานี้ถ้ามันรู้แล้วมันก็ไม่เป็นอะไรแต่ถ้ายึดมั่นในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสเสียแล้วก็ได้ชื่อว่าติดบ่วงเข้าจนได้ออกไปไหนไม่ได้แล้ว
ถ้าเราไม่ได้พิจารณาแยกแยะให้เห็นชัดก็ออกจากทุกข์ไม่ได้ ไม่ได้คิดก็ไม่ทันได้เห็นถึงต้นตอที่เกิดและกระแสธรรมที่ไหลไป มีปัญญานี้ให้ยกขึ้นมาสอนใจตัวเองเรียกว่าปัญญาอบรมใจ สอนตัวเองให้มองเห็นสัจธรรมถ้ามันจะหลงก็ยกให้ยกความจริงขึ้นมาสู้กัน ข่มมันไว้อย่าให้มันฟูอย่าให้มันจมลง
สอนใจตัวเองให้เข้าใจความจริง สมมุติว่ากิเลสบอกว่าอันนี้งาม น่ายินดีนักแต่ความจริงมันก็ไม่ได้เป้นอย่างนั้นมันมีอยู่ว่า ของมันไม่เที่ยง ของมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปยกตัวนี้ขึ้นมาพิจารณามันก็คลายกำหนัดลงไปได้ ความโกรธมันเกิดขึ้นก็พิจารณาลงตรงนี้ ความโลกเกิดขึ้นก็พิจารณาลงตรงนี้ ความหลงเกิดขึ้นก็พิจารณาลงรงนี้ถ้าพิจารณาได้จะเห็นว่าของๆเราที่มีอยู่ก็เป้นของไม่น่ายึดถือน่ายินดี ของๆคนอื่นที่มีก็เหมือนกันไม่น่ายึดถือไม่น่ายินดี อย่างนี้ความโลภก็หาย เราก็ไม่ได้ลุแก่ลาภแก่ยศแก่อำนาจกัน ความยึดในตัวเรา ความยึดในผู้อื่นก็ไม่มี
ยถา ปญาย ปสฺสติ เมื่อใดที่เห็นด้วยปัญญาย่อมเข้าใจได้ดีแยบคาย เมื่อรู้เมื่อเห็นอันใดก็ไม่พึงยินดีให้รู้เฉพาะสิ่งนั้นมันคืออะไร
สังขารความปรุงแต่งมันเป็นไปในอารมณ์ทั้งหลาย๓อย่างเบื้องต้นนั้นคือ อดีต อนาคต ปัจจุบัน ความปรุงแต่งนี้มันทำให้จิตฟุ้งซ่านไปในอดีต แล่นไปในอนาคตมันไม่อยู่ในปัจจุบันท่านว่าถ้ามันฟุ้งซ่านจะยืนคิด เดินคิด นั่งคิด นอนคิดมันฟุ้งไปได้หมดเหมือนเรากินเหล้ากินในอิริยาบถใดเมื่อมันเข้าไปถึงคอมันก็เมาหมด ถ้าเราปรุงแต่งก็เหมือนเทน้ำลงในตุ่มที่มีรูรั่วไม่เต็มไม่พอไม่มีวันที่จะอิ่มในความพอใจ
แต่ละเรื่องมันก็อยู่ในกามคุณที่นั้น หลักใหญ่ท่านว่าไว้มี๒อย่าง ๑.กายสังขาร ๒งจิตสังขาร เรื่องนี้มันเป็นเรื่องทีจักต้องแก้ไขปล่อยให้ไฟติดมันก็จะลามไป ยากที่จะแก้ไขดับลงได้ ไฟมันลุกแรงบ้าง เบาแรงลงไปบ้างตามเชื้อไฟ ถ้าเชื้อไฟยังมีมันก็ลุกเป็นไฟเสมอได้ตลอดเวลา ตัณหายังมีมันก็เป็นเชื้อ ความโกรธนี้มันก็เป็นเชื้อ ความโลภก็เป็นเชื้อ ความหลงก็เป็นเชื้อ เพราะมันจะยังมีความรักความหลงอยู่ ไฟเสมอด้วยราคะไม่มี ไฟเสมอด้วยโทสะไม่มี ไฟเสมอด้วยความหลงไม่มี
ถ้าความจริงมันเป็นอย่างหนึ่ง เราเข้าใจไปอีกอย่างหนึ่ง การกระทำเป็นอีกอย่างหนึ่งมันก็ถอนยาก ถอนทุกข์ได้ยาก ถอนโลภ ถอนโกรธ ถอนหลงได้ยาก
หลงของที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง หลงของที่ไม่สุขว่าสุข หลงของที่ไม่งามว่างาม หลงของที่ไม่มีตัวตน ว่าเป็นตัวตน เมื่อสิ่งเหล่านี้มันไม่เป็นตามใจต้องการ นั่นคือความทุกข์
หีบศพที่ประดับด้วยดอกไม้ของงาม แต่ภายในนั้นก็คือซากเน่าอันเป็นของน่าเกลียด การปรุงแต่งในสมมุติก็เป็นอย่างนั้น
สิ่งทั้งหลายมันเป็นธรรมชาติ เราไปสมมุติว่ามันเป็นตัวเราแล้วก็สมมุติต่อไปอีกว่ามันเป็นของเรา ใจจึงได้เกิดความหลง ไม่รู้แจ้งเห็นจริงในของสมมุติจึงเรียกว่า อวิชชา ความไม่รู้จริง ความไม่รู้จริงนี้ปิดบังไว้บังตาบังใจเรา มันเลยกลายเป็นความเคยชินจนเป็นของธรรมดา
ว่าไปแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว เราไปแก้ที่ใครไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็แก้ให้ไม่ได้ แก้ที่ลูกก็ไม่ได้อีก แก้ที่พ่อแม่ก็ไม่ได้ ปัญญาตัวนี้อยู่ในตัวเราอยู่ เพียงแต่ไม่ค่อยได้ฝึกมันเท่านั้น มันจึงไม่ตั้งขึ้นมั่นคงไม่มีกำลังที่จะไปสู้กับกิเลสตัณหา
วีปฏิบัติก็คืออย่าหลบปัญหา ให้เลือกเฟ้นธรรมที่จะนำมาปฏิบัติแก้ความเห็น ปัญญาก็คือความคิด สังขารก็คือความคิดแต่ตัวนี้มันต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว คิดไปตามสังขารจะมีอาการเป็นไปตามกามคุณ ว่าน่ารักน่าใคร่ ส่วนปัญญานี้ก็จะรู้ได้ว่า ไม่เที่ยง ไม่นานจักดับไป กามคุณเป้นของไม่สะอาด อาหารที่เคี้ยวไปก็สกปรก อาหารที่ไหลออกก็สกปรก สิ่งที่ไหลออกมาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทวารหนัก ทวารเบาก็เป้นิส่งของสกปรก เป็นทุกข์เป็นอนัตตาเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดลักษณะนี้เรียกว่า วิปัสสนาญาณ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น