วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ปาฐกถา "วันสามเณร"ปี๕๔
สามเณรทั้งหลายโอกาสนี้เรามาประชุมร่วมกัน ในโอกาสอันพิเศษนี้มีทั้งท่านที่เป็นรุ่นพี่ตอนเป็นสามเณร มีทั้งเณรเล็กเณรใหญ่เณรโข่งหน้าไปแล้วแต่ไม่ยอมญัตติพระสักที "วันสามเณร"จัดขึ้นที่วัดสระเกศเป็นประจำทุกปี ปีนี้เจ้าประคุณสมเด็จท่านเป็นห่วงการศึกษาของสามเณรมาก มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์บ้านเราว่าสามเณรอ่อนภาษาไทย อ่อนมากอ่อนน้อยให้น้องสามเณรพิจารณาตัวเอง ถ้าเรายังไม่เก่งอันใดให้เราฝึกขอให้มีความขยันในกิจกิจส่วนตัว ธุระส่วนรวม
การได้มาบวชจะเป็นพระเป็นเณรมีค่าเท่ากันทำดีก็เป็นศรีแก่ตัวเรา เป็นที่น่าเลื่อมใสของประชาชน ถ้าทำไม่ดีปฏิบัติไม่ดีก็มัวหมองไปถึงครูบาอาจารย์ผู้สั่งสอน พระศาสนาก็เป็นอันโดนผู้อื่นตำหนิ
น้องสามเณรให้จำไว้ว่าจะทำอะไรให้ลูบดูหัวตัวเองก่อน มองดูเราว่าใส่ชุดอะไรถ้าไม่เหมือนชาวบ้านเขาการพูด การคิด การทำเราต้องสำรวมระวังอยากจะพูดเลยก็ไม่ได้อยากจะทำตามใจอยากนี้ก็ไม่ได้
เวลาโยมเขามองเรา เขามองเราสูงกว่าเขา ถึงแม้ว่าเราเป็นเด็กไม่รู้ว่าลูกใคร พอมาบวชเขาก็ไหว้เขาก็บูชา
กิริยามารยาทการแสดงออกจึงต้องสำรวมให้มาก มีสุภาษิตไทยว่า "รากบัวหยั่งลึกตื้นชลธาร มารยาทส่อสันดานชาติเชื้อ" ถ้าเราทำดีเขาก็จะยกยอเรา ยกยอวัดยกยอครุบาอาจารย์ว่าสอนมาดี ถ้าเราทำไม่ดีประพฤติเสียหายเขาก็จะพาลมาว่าถึงสมภารเจ้าวัดมาถึงครูบาอาจารย์พลอยหนักใจไปตามๆกัน
ถ้าเราสร้างศรัทธาให้โยมได้แล้วมันได้หมด ไม่ต้องมีอะไรมากหรอก ไม่ต้องพูดอะไรมากเขาก็เลื่อมใส จำได้ไหมตอนพระสารีบุตรไปเจอพระอัสสชิกำลังบิณฑบาตรกลางชุมชน พอมองเห็นปุ๊บเกิดความเลื่อมใสในกิริยามารยาทของสมณรูปนี้ว่าไม่เหมือนกับกิริยามารยาทในนักบวชลัทธิอื่น ตอนนี้พระสารีบุตรเกิดศรัทธาขึ้นแล้วนะ พอได้ฟังธรรมที่พระอัสสชิกล่าวเพียงสั้นๆเท่านั้นว่า ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุพระศาสดาตรัสเหตุนั้นและการดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดามีปกติตรัสอย่างนี้ สรุปได้ว่าคราวนั้นเราได้พระอัครสาวกมา๒รูปเป็นกำลังของพระศาสนาสืบมา
สามเณรก็เป็นบุคลากรในพระศาสนาที่มีกำลังอยู่มาก สามเณรสฺส อปจฺจํ สามเณรคือเหล่ากอของสมณะถ้าสามเณรแข็งแรงไม่ได้หมายความว่าเราจะไปยกพวกตีกันนะหมายถึงเก่ง มีความรู้พระศาสนาเราก็มั่นคง เพราะเรานี้คือผู้สืบต่อพระศาสนา สืบต่อคำสอน สืบทอดอาจาริยวัตรของครูบาอาจารย์
ถึงแม้ว่าน้องเณรทั้งหลายมาจากต่างถิ่นกัน ต่างความเป็นอยู่แต่เรามาเป็นลูกของพระพุทธเจ้าพุทธบุตร พุทธชิโนรส ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติตามคำำสอนอันประเสริฐที่เรียกว่า "พรหมจรรย์" ขอให้พรหมจรรย์ของเราทั้งหลายนั้น จงเป็นไปเพื่อประโยชน์และการทำที่สุดแห่งทุกข์ทั้งปวง
บวชมาแล้วจะบวชพระหรือเณรเป็นประโยชน์ทั้งนั้นและเป็นประโยชน์ที่อนุเคราะห์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายด้วย
ดูถูกสามเณรไม่ได้นะพระเจ้าอโศกยอมรับนับถือพระศาสนาได้ก็เพราะสามเณรตัวน้อยๆอายุ๗ขวบเท่านั้นเป็นน้องเราด้วยซ้ำ
อายุของพระพุทธศาสนาในประเทสศรีลังกาที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้เพราะกำลังของสามเณรรูปหนึ่งที่พยายามปกป้องรักษาคำสอนไว้และไม่ใช่ว่าจำวัดอยู่เฉยๆนะ่ท่านขยันเรียนมาก ขยันจำพระสูตรแรกอ่านบาลีไม่ได้เดินทางไปทั่วแคว้นเพื่อจะหาคนที่มาสอนตัวเองให้อ่านออกเขียนได้ พระอาจารย์ก็อยากจะเห็นสามเณรแห่งสยามประเทศเก่งอย่างนี้
ที่พูดมานี้พูดให้เห็นเป็ํนตัวอย่างว่าสามเณรนี้เป็นกำลังของพระศาสนา เราอย่าลืมตัวเรา ครูบาอาจารย์สอนถ้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ ต้องการรู้มากกว่านี้ก็ไปค้นต่อ ตู้พระไตรปิฎกอยู่บนศาลาจะล้มทับหัวอยู่แล้วไปเปิดอ่านดูไม่ใช่ว่าเราจะรอครูบาอาจารย์ ความรู้เิกิดจากการใฝ่หา คนที่ขยันลุกออกจากที่นอน จากเกมส์เท่านั้นจึงจะได้ความรู้เพิ่มขึ้นไม่ใช่โยมถามสติคืออะไร พระพุทธเจ้าแสดงธรรมจักรอย่างไร ไม่รู้ อธิบายให้โยมไม่ได้ แต่พรีเมี่ยม เอฟซีรู้ละเอียดยิบ อันนี้อายโยมเขานะ ทุกวันนี้โยมศึกษาธรรมเยอะเขาสนใจมากเหมือนกันแล้วถ้าเราไม่พัฒนาเราก็จะเป็นสามเณรที่ล้าหลัง ถ้าเรายังเรียบแบบเช้าชามเย็นชาม ไปไม่รอดอยู่เป็นเณรก็ไม่รอดออกไปข้างนอกยิ่งต้องแข่งขันมาก
นี้รูปท่านเจ้าคุณอาจารย์ปยุตฺโต พระพรหมคุณาภรณ์ นี้ไม่ใช่พระธรรมดานะยี่ห้อระดับโลก แต่ก่อนท่านก็เป็นสามเณรชื่อสามเณรประยุทธ อารยางกูร ท่านก็มาจากบ้านนอกเหมือนเราเข้ากรุงมาเหมือนกัน มาบวชท่านก็ท่องเหมือนเรา เรียนเหมือนเรา ปุริโส ปุริสา สิ โย อํ โย นา หิ เหมือนเรา
ใครจะไปรู้ละนั่งฟังอยู่ตรงนี้จะเป็นบุคคลสำคัญโลกคนต่อไป สู้ๆนะ เรามีตัวอย่างเป็นครูบาอาจารย์ของเราเอาท่านเป็นแบบอย่าง วัดที่บ้านยังเป็นวัดร้าง มีหลวงตาจำพรรษาอยู่ กลับไปบ้านเราก็ไปช่วยท่านได้ ได้เรียนอะไรมา ที่ถูกที่ควรกลับไปช่วยท่านพัฒนาก็ได้ ก็ใครจะไปทราบละตัวเล็กๆต่อไปจะเป็นผู้นำจิตวิญาณของชุมชน
ท่านเจ้าคุณอาจารย์พยอมเป็นทั้งนักเทศน์ นักพัฒนา นักเผยแผ่ เทศน์จนเป็นลมเอาอย่างท่านขยันเหมือนที่ท่านว่าไว้ "ขยันให้เหงื่อออกทุกรูขุมขนดีกว่าขี้เกียจแล้วยากจน จนน้ำลนออกทางตา" บางทีเณรที่คิดว่าจบม.๖จะสึกๆบอกหลวงพี่ว่าไม่ไหวแล้วครับผ้ามันร้อนอาจจะเป็นเจ้าอาวาสก็ได้ เพื่อนพระอาจารย์เรียนด้วยกันมาทำท่าจะไปตั้งแต่ม.๓จบม.๖แม่บอกรอก่อนเอาป.ตรีบวชพระให้โยมแม่ก่อน ตอนนี้โยมแม่กลับมาถามว่าจะสึกเมื่อไหร่ลูก ตอนนี้ลูกชายบอกรอก่อน เดี๋ยวนี้กำลังสร้างศาลาอยู่เป็นเจ้าอาวาสแล้ว มันไม่แน่นะ
สำหรับตัวเราแล้วเรื่องต่างๆมันเป็นอนาคต ถามน้องเณรทุกคนอดีต อนาคต ปัจจุบนอันไหนสำคัญที่สุด...(ปัจจบันครับ) ปัจจุบันนะ ปัจจุบันนั้นคือความจริง ระหว่างเรื่องเพ้อฝัน เรื่องที่ผ่านผันมาเราจะอยู่กับอะไร ถ้าเราเลือกอยู่กับอนาคตก็จะได้แต่ฝันถึงวันพรุ่งนี้ ฉันเช้าเสร็จก็นอนรอโยมมาถวายเพลอย่างเดียวกิจวัตรไม่ได้อะไรคือความเจริญในชีวิต ใจไปอยู่กับอดีตไม่น่าบวชเลย โดนบังคับบวชคิดถึงเพื่อนเก่า บวชแล้วต้องนั่งสมาธิ สวดมนต์เดินๆนั่งๆ ท่องภาษาอะไรก็ไม่รู้ อยู่ไม่ได้ มันก็ไม่เป็นสุข ถ้าเราจะเอาอนาคตก็ฝันเอา อยากเรียนเก่งก็ฝันเอา นอนฝันเอาก็ได้
โลกนี้มันเป็นความจริงของมันและมันก็ไม่เคยโกหกใครนะ เราต่างหากไปเป็นคนหลงความจริงนั้น อยากมีมันก็เป็นทุกข์ ไม่อยากมีมันก็เป็นทุกข์ ไม่อยากเกิดมาเ็ป็นสามเณรจตุพงศ์เลย มันโง่จัง อันนี้ก็เป็นทุกข์ อะไรเราก็อย่าไปหลงมัน ธรรมอันยังประโยชน์ให้สำเร็จได้และมีอุปการะมากคือสติ สัมปชัญญะ๒อย่างนี้เป็นรวมลงแห่งอรรถะและประโยชน์
ปัจจุบันนี้เราเป็นสามเณร ให้อดทนตั้งใจต่อการกระทำความดี ทำความดีจะเป็นผลก็ต่อเมื่อเราไม่ละทิ้งความดีนั้นและความดีนั้นก็ไม่ทิ้งเราเป็นคุณสมบัติของเรามีแต่ความดีเท่านั้นที่เขาจะยกย่องเชิดชู จะอยู่ก็ให้ทำความดีออกไปแล้วก็ยังรักษาความดีนั้นเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีต่อไป
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น