วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคนไทยต้องได้ปัญญา
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคนไทยต้องได้ปัญญา
ระยะเวลา ๕ ปีที่ผ่านมาประเทศไทยนั้นผ่านเหตุการณ์ต่างๆมามากมาย สิ่งที่เราไม่เคยเห็นก็ได้เห็น ไม่เคยได้สัมผัสก็ได้สัมผัสรับรู้ แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชนควรที่จะได้คิดพิจารณาในเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ในบ้านเมืองของเราหรือต่างประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ได้บอกให้เราไปเก็บสิ่งไม่ดีมาคิดให้ปวดสมอง
คำถามจึงเกิดขึ้นว่าเราควรจะทำอย่างไร
ในทางพระพุทธศาสนาเวลาสอนให้คนมองโลกไม่ได้บอกให้มองโลกในแง่ดีด้านเดียวหรือในด้านใดด้านหนึ่ง คนเราเกิดมาแล้วมีสุขมีทุกข์เหมือนกันหัวเราะร้องไห้ในเรื่องเหมือนกันๆไม่มีใครต่างกันในเรื่องของกิเลสทุกสิ่งทุกอย่างถูกพลักดันด้วยความอยากคือตัณหา
เวลาเราทุกข์เรามีวิธีการแก้ปัญหาอย่างไรพระพุทธเจ้าได้เคยเปรียบเทียบให้สาวกฟังว่าถ้ามีคนมาจุดไฟที่หัวสิ่งที่ควรทำก่อนอย่างแรกคือทำใจก่อนถ้าหากเป็นเราท่านทั้งหลายก็จะหาทางดับไฟเอาน้ำเอาอะไรมาดับแต่พระพุทธเจ้าบอกสาวกว่าก่อนอื่นเลยให้ดับใจก่อน
เราจึงเห็นวิธีการแก้ปัญหาที่ต่างกันไปของคน บางทีก็ตัดสินใจชั่ววูบเดียวบางคนก็ผ่านปัญหาไปได้สะดวกสบาย บางคนก็ต้องใช้เวลาสักหน่อย ทำไมจึงต้องบอกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคนไทยควรได้ปัญญาเพราะเมื่อเวลามีปัญหาต้องใช้ปัญญาแก้ เวลาเราใช้อารมณ์ในการตัดสินใจทำอะไรบางอย่างผลสะท้อนกลับออกมาเป็นอย่างไร เราต้องการให้ลูกน้องทำงานแต่เวลาประชุมด่าเอาๆความดีไม่มีปรากฏเลยหรือบางทีใช้แต่วาจารุนแรง คนงานหมดกำลังใจทำงานหรือบางทีก็ทำด้วยความกลัวกลายเป็นเกิดภาวะความเครียดกันทั้งบริษัท
ปัญญาคือความรอบรู้นั้นคือรู้แล้วต้องทำถูกด้วยถ้าบอกว่าผมรู้แล้วไม่ต้องบอกแต่อดไม่ได้นี้ไม่ใช่ปัญญาอันนี้เป็นมูลโมหะอวิชชาขั้นทึบเลยนะ เพราะรู้แล้วแต่แก้ทุกข์ให้ตัวเองไม่ได้ ฉะนั้นปัญญาคือสิ่งที่รู้รอบโดยแจ้งชัดแล้วสามารถที่จะแก้ปัญหาให้แก่ตัวเองได้
เราผ่านอะไรมาบ้างประเทศไทยผ่านเหตุการณ์ที่อาจเรียกได้ว่าวิกฤติ บางคนอาจจะบอกว่าเป็นพัฒนาการของสังคม อาตมาว่าถ้าหากเราจะมีพัฒนาการถึงขั้นที่เรียกว่าความเจริญทำไมคนพูดกันไม่รู้เรื่อง พุทธศาสนิกชนจึงอย่าได้ละเลยปัญหานี้จึงสมควรที่จะได้หยิบยกขึ้นมาพิจารณาไม่ว่าจะเป็นปัญหาสังคม เศรษฐกิจ หรือปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเรา
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นพระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้มองโลกเอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ ถ้าหากเรามาศึกษาคำสอนของพระพุทธศาสนาถ้าเราศึกษาไม่คลอบคลุมก็จะมองว่าพระพุทะศาสนานี้สอนให้คนเป็นทุกข์มองโลกในแง่ร้ายเหมือนที่ชาวตะวันตกมองพระพุทะศาสนาในยุคต้นๆการมองโลกการมองความเป็นไปในโลกพระพุทธเจ้าสอนสาวกให้รู้แจ้งชัดตามเหตุปัจจัยไม่ให้เอาความคิดเราไปยึดติดไปบอกว่าไม่ให้มันเป็นไม่ให้มันเกิดขึ้นอันนี้ไม่ใช่และไม่ควรที่พุทธศาสนิกชนจะเข้าใจอย่างนั้น สิ่งที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่พุทะบริษัทให้เข้าใจคือความจริงของโลกที่เรียกว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ คือมองโลกตามความเป็นจริง ถ้ามันจะเกิดขึ้นมันก็มีเหตุให้เกิดขึ้นถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะดับลงไปก็ดับเพราะเหตุนั้นดับลง
ถ้าเราเห็นรับรู้ตามความจริงเราไม่ได้เอาความอยากมีอยากเป็นของเราไปกำหนด ความยินดียินร้ายต่อสิ่งทั้งหลายก็ไม่มี นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ ความสงบเกิดขึ้นอยู่ที่ไหนก็มีความสงบเพราะใจเราสงบแล้ว
เราจะแก้ปัญหาความแตกสามัคคีเราต้องเห็นว่าโทษของความไม่ลงรอยกันก่อนว่าอะไรคือโทษของความไม่สามัคคี มดทำรังช่วยกันทำไม่เกี่ยงกัน เวลามีปัญหาเรียนหน้ากันมาสู้ตัวเล็กแต่ใจใหญ่ใครมารังควานรังไม่ได้ ตอนเด็กๆที่เราชอบไปแหย่รังมันเล่น มดตัวเล็กๆนี้ละกรูเข้ามาช่วยกัน ถึงแม้ว่ามันจะสู้เราไม่ได้แต่มันก็ทำให้เราเจ็บแสบได้เหมือนกัน มีพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า
ปเร จ น วิชานนฺติ
มยเมตฺถ ยมามฺหเส
เย จํ ตตฺถ วิชานนฺติ
ตโต สมฺมนฺติ เมธคา
คนพวกอื่นไม่รู้ดอกว่า เราทั้งหลายย่อยยับอยู่ (เพราะการทะเลาะวิวาทกัน) ส่วนพวกใดรู้เห็นโทษของการทะเลาะวิวาท ความหมายมั่นซึ่งกันและกันก็ย่อมระงับลง
ที่ไหนเกิดความแตกแยกกันย่อมหาความสุขสบายได้ยากเราจึงต้องเห็นโทษของความไม่สมัครสมานสามัคคีเพราะให้โทษแต่ฝ่ายเดียวไม่มีคุณเลย แล้วคนมีความรู้เขาถกเถียงกันไหมเขาก็ว่ากันนะแต่ไม่ได้ด่ากันใส่ร้ายกัน อย่างพระพุทธเจ้าเราเวลามีเจ้าลัทธิเจ้าศาสดาถกปัญหาหรือเวลาเขาด่าเขาว่าพระพุทธเจ้าไม่โกรธไม่ว่าผู้นั้นเลย เพราะพุทธเจ้าเห็นโทษของการทะเลาะวิวาทว่าเป็นภัย เราจะอยู่อย่างไรให้มีความสุขในยามที่เศรษฐกิจถดถอย ในยามที่ชีวิตเดินอยู่ในวังวนของปัญหาหาทางออกไม่ได้ มองไปไหนมืดไปหมด สติ สมาธิ ปัญญานี้จึงสำคัญ เกิดอะไรขึ้นต้องตามรู้ดูให้เห็นไม่อย่างนั้นจะนอนเป็นทุกข์ นอนบนเตียงนุ่มๆตากแอก็ไม่สบายถ้าใจมันกระวนกระวาย บินลัดฟ้าไปเที่ยวถึงยุโรปตั้งใจว่าจะไปหาความสุขกันก็ไม่มีความสุขถ้าใจมันรั่ว
ความสุขมันจึงอยู่ที่ตัวเราและเราจะมีความสุขได้ก็เพราะมีปัญญา ปัญญาตัวนี้เกิดจากการมองโลกตามความเป็นจริง เห็นคุณและโทษอย่างแจ้งชัดความโลภเกิดขึ้นถ้ามีปัญญาก็จะเห็นว่าความอยากได้ของผู้อื่นไม่ใช่ของตนหรือที่มันอยากมากเกินไปจนต้องตะเกียกตะกายหาเอามาจนได้ทุกวิถีทางบางทีได้มาโดยทุจริตมันจะก่อโทษแก่ตัวเรา เมื่อเรามีปัญญาเห็นภัยที่จะเกิดขึ้นความอยากได้ซึ่งของอันเจ้าของมิได้ให้นั้นก็จักหายไปเกิดเป็นผู้มีเทวธรรมคือหิริความละอายแก่ใจ โอตตัปปะความเกรงกลัวต่อผลของบาป ทำให้เราเป็นผู้มีศีลสมบรูณ์ เมื่อเราเป็นผู้ยังศีลของตนให้บริบูรณ์ความสุขจากการไม่มีการเบียดเบียน เราไม่ได้เป็นผู้เบียดเบียน ผู้อื่นก็ไม่ได้มาจองล้างจองเวรเรา ความสบายผาสุกก็เกิดขึ้น นั่นก็คือคำตอบว่าอยู่อย่างไรให้มีความสุข
เราจะแสวงหาความสุขกันที่ไหน ถ้าไม่ค้นหาที่ตัวเรา มีพระราชาเมืองหนึ่ง พระองค์มีความทุกข์มากปกครองบ้านเมืองมามีปัญหามากมายเหลือเกิน ไม่มีความสุข หันไปถามนายกรัฐมนตรีว่ามีความสุขไหมได้ตำแหน่งนายกมาใหม่ๆสงสัยจะมีความสุข ขอหน่อยมีไหม นายกก็บอกว่า เป็นนายกก็ไม่มีความสุขเลยพระเจ้าข้า ไม่รู้ว่าจะโดนประท้วงเมื่อไหร่ ค่าแรง ๓๐๐ จะทำได้ไหม ปัญญาหาเยอะเหลือเกิน พระราชาหันไปมองนักธุรกิจ นักธุรกิจก็บอกว่าไม่มีความสุขพระเจ้าข้า ตอนนี้หุ้นวิ่งขึ้นวิ่งลง ไม่รู้ว่าจะติดลบหรือจะบวก รอลุ้นอยู่ยังไม่มีความสุขพระเจ้าข้า พระราชานี้ยังไม่หมดหวังซะทีเดียว พระองค์ได้ยินมาว่าในโลกนี้มีเสื้อแห่งความสุข พระองค์จึงได้ตั้งให้อำมาตย์พาทหารออกตามล่าหาความสุข เพราะเขาล่ำลือกันว่ามีเสื้อตัวหนึ่งใครได้สวมใส่แล้วจะมีความสุข เหล่าอำมาตย์หาอย่างไรก็หาไม่เจอ หมดหวังแล้ว วันหนึ่งไปเจอคนขอทาน นั่งอยู่ปากก็ร้องบอกว่า สุขจริงหนอๆๆ พวกทหารก็เข้าไปถามว่าท่านนี้ก็เป็นคนยากจนทำไมบอกว่าสุขจริงหนอๆทหารก็เอาเรื่องนี้ไปเล่าถวายให้พระราชาฟังพระราชาได้ฟังก็เข้าใจว่า ความสุขไม่ได้อยู่ที่เสื้อ ไม่ได้สำคัญว่าเรามีเงินทองมากมายล้นฟ้า มันอยู่ที่ใจเรานี้เอง
“ความสุขและทุกข์มีอยู่คู่กับโลก
จะย้ายโยกไปแห่งหนตำบลไหน
จะสุขบ้างทุกข์บ้างช่างเป็นไร
จะทำใจให้เศร้าไม่เข้าการ”
ถ้าเรากำลังจะมองหาความสุขอย่าไปคาดหวังเลยอนาคตมากนักเพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เงินจะออกสิ้นเดือนนี้จะใช้ให้คุ้มสุดๆอย่างนี้เรียกได้ว่าตั้งอยู่ในความประมาท แค่เราใช้เวลาในปัจจุบันใช้ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์มีปัญญาเห็นเหตุเสื่อมเหตุของความเจริญความสุขมันก็อยู่กับเราเป็นของเรา ชีวิตเราก็จะมีแต่ความสุข เพราะเราตอบไม่ได้หรอกว่าเราเรียนจบแล้วเราจะมีความสุข เราเป็นดร.เราจะมีความสุข ปัจจุบันจึงสำคัญที่สุด ปัจจุบันที่ใจ เปรียบเหมือนการเดินทางขึ้นเขาสูงๆเราก็ตั้งใจว่าจะไปชมวิวบนยอดดอยใจเราก็ตั้งหน้าตั้งตาเดิน นึกถึงแต่ยอดดอย คนที่เดินไปด้วยกันไม่ด้วยพูดได้คุยกัน บางทีเราตั้งใจมากไม่พักเลยเห็นคนอื่นนักพักนั่งคุยกันก็ไม่ยอมหยุดเดินก้มหน้าเดินอย่างเดียว คนอื่นเขาหยุดทักทายกันบ้างแบ่งน้ำแบ่งอาหารให้กันบ้าง เขาก็มีความสุขด้วยกันเผื่อแผ่กัน แต่เรากลับรู้สึกเหนื่อยมากเราลืมดูความสวยงามระหว่างข้างทางเดินขึ้นบนยอดเขาว่ามีอะไรบ้าง ความสุขมันก็อยู่ที่เราความทุกข์มันก็อยู่ที่เรา ทั้งสุขทั้งทุกข์เราเป็นคนรับรู้เองหมด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนทำใจของเราให้เป็นสุขๆอย่าทำสิ่งที่จะก่อเวรเป็นภัยให้ตัวเองและผู้อื่น เช่นนี้ความสุขในชีวิตความสุขในการอยู่ร่วมกันก็เกิดขึ้นได้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น