วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

คนทั้งหลายต้องการความสุข วิธีแสวงหาความสุข

คนทั้งหลายต้องการความสุข วิธีแสวงหาความสุข ชาวพุทธเราได้ยินได้ฟังอยู่เสมอว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เป็นคำสอนขั้นต้นๆเรียกว่าเป็นความเชื่อพื้นฐานของชาวพุทธ คำสอนเรื่องกรรมและผลของกรรมในคติของชาวพุทธไม่ใช่เรื่องงมงายมีความสำคัญอย่างมากต่อพื้นฐานความคิดและการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน เวลาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงสั่งสอนอะไรพระองค์จะชี้แจงแสดงเหตุผลให้แก่สาวกของพระองค์อยู่เสมอ บางเรื่องเข้าใจผิดพระองค์ก็นำมาปรับปรุงใหม่ชี้แนะแนวทางการปฏิบัติใหม่ ดังตัวอย่างของมานพคนหนึ่งหลังจากที่บิดามารดาล่วงลับไปได้สั่งเสียลูกชายว่าถ้าวันไหนที่แม่ไม่อยู่ให้ลูกบูชาทิศทั้งหลายถ้าทำได้อย่างนี้ลูกจะมีแต่ความสุขความเจริญ ลูกชายพอแม่สิ้นใจไปก็ทำตามคำสั่งสอนด้วยกตัญญู ทุกเช้าทุกเย็นก็จะออกมากราบไหว้ทิศทั้งหลายก่อนออกจากบ้าน ก่อนไปทำงานก็จะกราบไหว้ทิศต่างๆตามคำสั่งสอนของแม่ วันหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จผ่านมาเห็นกิริยาอาการของมานพหนุ่มนั้นก็ได้มีเมตตาแสดงธรรมชี้แจงเหตุผลให้ฟังจึงปรากฏเป็นพระธรรมเทศนาเรื่องทิศ ๖ ในสิงคาลกสูตร เมื่อมานพได้ฟังก็เข้าใจ จึงเลิกเปลี่ยนวิธีที่ตัวเองทำอยู่อย่างปกติเห็นเป็นเรื่องงมงายหันมากระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงกว่า จากเรื่องนี้ย่อมจะเห็นว่าพระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เรางมงาย พระพุทธเจ้าสอนเรื่องกรรมไม่ได้สอนให้เรางมงมงายแต่สอนให้เราปฏิบัติตัวเองให้ถูกต้อง เพราะคนเราต้องการความสุขความเจริญเข้ามาในชีวิต แต่กระทำสิ่งที่ไม่ได้นำความเจริญความสุขเข้ามาก็หาความสุขไม่เจอความเจริญในชีวิตก็ไม่เกิดขึ้น พระพุทธศาสนาไม่ใช่ทฤษฎีทางความคิดแต่พระพุทธศาสนาครอบคลุมไปถึงวิถีชีวิตที่เรียกว่า การดำรงชีวิต way of life ฉะนั้น คนที่เข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนาเฉพาะส่วนคำสอนไม่นำไปปฏิบัติจึงได้ชื่อวาไม่เข้าถึงพระพุทธศาสนาไม่ได้ชื่อว่าพุทธศาสนิกชนอย่างแท้จริง ศรัทธาในทางพระพุทธศาสนามีสี่อย่าง คือ กัมมสัทธา เชื่อกรรม เชื่อกฎแห่งกรรม เชื่อว่ากรรมมีอยู่จริง คือ เชื่อว่า เมื่อทำอะไรโดยมีเจตนา คือ จงใจทำทั้งรู้ ย่อมเป็นกรรม คือ เป็นความชั่วความดีมีขึ้นในตน เป็นเหตุปัจจัยก่อให้เกิดผลดีผลร้ายสืบเนื่องต่อไป การกระทำไม่ว่างเปล่า และเชื่อว่าผลที่ต้องการ จะสำเร็จได้ด้วยการกระทำ มิใช่ด้วยอ้อนวอนหรือนอนคอยโชค เป็นต้น วิปากสัทธา เชื่อวิบาก เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าผลของกรรมมีจริง คือ เชื่อว่ากรรมที่ทำแล้วย่อมมีผล และผลต้องมีเหตุ ผลดีเกิดจากกรรมดี ผลชั่วเกิดจากกรรมชั่ว กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน เชื่อว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของ จะต้องรับผิดชอบเสวยวิบาก เป็นไปตามกรรมของตน ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มั่นใจในองค์พระตถาคต ว่าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงพระคุณทั้ง ๙ ประการ ตรัสธรรม บัญญัติวินัยไว้ด้วยดี ทรงเป็นผู้นำทางที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ คือเราทุกคนนี้ หากฝึกตนด้วยดีก็สามารถเข้าถึงภูมิธรรมสูงสุด บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ดังที่พระองค์ทรงบำเพ็ญไว้ พระพุทธศาสนามีหลักคำสอนที่ชี้แนะแนวทางให้พุทธศาสนิกชนนำไปปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายในสังสารวัฏ การกระทำคือตัวชี้วัดความสุขในชีวิตของเราอธิบายว่ากรรมที่เราทำไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมเป็นเหตุถ้าเราทำกุศลกรรมก็จะได้รับผลคือความสุข เช่นเดียวกันถ้าเราทำอกุศลกรรมก็จะได้รับผลคือความทุกข์ ธรรมดาว่าคนเรารักสุขเกลียดทุกข์จึงต้องแสวงหาความสุขมาใส่ตัว ความสุขที่เราเพียรหากันมาเสพเสวยนี้ได้มาอย่างไร บางคนก็ได้ทรัพย์มาจากการทุจริตคดโกง บางคนก็ได้มาจากหน้าที่การงาน คนที่ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ก็ถือว่าได้มาเพราะความขยันหมั่นเพียรเป็นที่น่าอนุโมทนา แต่บางคนได้มาจากการเบียดเบียนผู้อื่นอย่างนี้ชื่อว่าแสวงหาความสุขในทางที่ผิด เมื่อถึงกาลที่กรรมให้ผลย่อมจะร้อนทุรนทุรายกินอยู่ไม่ได้ จึงไม่มีความสุข ดังนั้นทางแห่งความสุขของชาวพุทธก็คือก็คือการแสวงหาปัจจัยการดำรงชีพด้วยความสุจริตอันนี้ก็คือเราประพฤติธรรมนั่นเอง ถ้าเรารักสุขเกลียดทุกข์ต้องทำตัวให้ห่างไกลความเสื่อมที่จะนำพาชีวิตเราไปตกอบายขั้นต่ำ การจะพบความสุขในชีวิตอย่างง่ายๆของชาวพุทธเราก็คือละเว้นเหตุของความเสื่อม ถ้าละเว้นเหตุของความเสื่อมนี้ได้ชีวิตเราก็จะเจริญรุ่งเรือง เพราะเราไปมัวยุ่งกับความเสื่อมนี้ชีวิตเราจึงมัวหมองไม่ผ่องใสท่านพุทธทาสได้เขียนกลอนท่านบทหนึ่งไว้ว่า “สมัยนี้โลกกล้าอย่างป่าเถื่อน จะรวบเดือนดาวใสในกระเป๋า” เห็นจะจริงดังท่านว่าไว้คนเราอยากได้อะไรมากมาย จะเอาดาวเอาเดือนมาใส่ไว้ในกระเป๋า ไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดี โกงเขามาอย่างนี้ ทำร้ายเขามาอย่างนี้สุดท้ายมันก็ไม่เป็นสุขแสดงว่าวิธีที่ทำมาไม่ใช่หนทางแห่งความสุข หนทางแห่งความสุขของชาวพุทธคือมัชฌิมปฏิปทา คนเราต้องการความสุขกันทุกคนแต่แสวงหาความสุขไม่ถูกวิธีจึงไม่พบความสุข เหมือกับเราจะเดินไปเชียงใหม่ทางที่จะไปอยู่ทางเหนือเราเดินไปทางทิศตะวันออก เดินจนขาหักก็หาก็ไปไม่ถึง เช่นกันทางแห่งความสุขนี้มีอยู่แล้วเราไม่เดินไปตามทางนั้นไปเดินทางคนละเส้นก็หาความสุขไม่เจอ เรามาเจอหน้ากันถามกันว่านายมีความสุขไหม เธอมีความสุขไหม ก็ตอบกันอย่างหน้าชื่นอกตรม ไอ้เราเห็นว่าที่ทำกันดูท่าเขาจะมีความสุขแต่พอได้รับรู้สัมผัสทำไมมันร้อนขึ้นมาอยู่ไม่ได้ พอเจอกันอีกก็คุยกันว่าทางไปหาความสุขอยู่ที่ไหน ก็ชี้กันไปว่า นั่นไงเห็นว่ามีคนไปเจอนะ เขาว่าเป็นพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่าอย่างนี้นะ ปลงนะ วางนะ ทำหน้างงเป็นลิงส่องแว่น ทำไม่เป็นทำอย่างไรหว่า ถามว่าทุกวันนี้เราเดินทางตามข้อปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าสอนไหม ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติตามถือว่าเราห่างไกลนะ ห่างจนไม่รู้ว่าจะชื่อมหากันอย่างไร ฉะนั้น ขอให้เราหยุดปิดอบายเสียแต่ตอนนี้เลย เรานั้นประกาสตนเป็นพุทธศาสนิกชนย่อมรู้แล้วว่าอะไรคือทางแห่งความสุขอะไรคือทางแห่งความเสื่อม พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านตรัสไว้แสดงไว้ซึ่งธรรมอันประเสริฐ ใครปฏิบัติได้ย่อมรู้ย่อมเห็นสมควรตามที่ท่านได้แสดงไว้ อะไรที่รู้ที่ทำผิดไปก็ละ เลิก ทิ้งเสีย อย่าไปข้องแวะอีก เราเป็นผู้ฉลาดต้องแยกแยะธรรมที่เป็นเหตุดีเหตุเสื่อมได้ ประโยชน์อะไรที่ควรประกอบไว้ในปัจจุบันก็ให้หาให้ขวนขวายใส่ตัว ประโยชน์อันใดที่จะส่งเสริมตัวเองให้เจริญในอนาคตก็ให้รีบทำ ถ้าเรามัวประมาทไม่ประพฤติปฏิบัติกันธรรมที่สมควรได้ก็ไม่ได้ ความเจริญในคุณงามความดีในพระศาสนาก็ไม่เกิดแก่เรา ความสุขมรรคผลนิพพานก็ไม่เกิดมีแก่เรา พระพุทธเจ้าบอกให้หาความสุขอย่างไร สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย การสั่งสมบุญนำสุขมาให้ อะไรที่เป็นบุญเป็นกุศลให้เราขยันทำอะไรที่เป็นอกุศลให้เราขยันละ ขยันเลิกไป อย่าหาไฟมาสุมตัวเอง อาตมาคุยกับโยมคนหนึ่ง โยมคนนั้นบอกว่าที่ผมมีความสุขทุกวันนี้เพราะผมยึดเอาอักษร ๓ ตัวมาใช้ อักษร ๓ ตัวนั้นคือ พ ห ช โยมคนนั้นถามหลวงพี่ว่าหลวงพี่รู้ไหมว่าแปลว่าอะไร อาตมาตอบว่าไม่ทราบ โยก็เลยบอกว่า “พ” นี้คือรู้จักพอ อาตมาก็นึกถึงพุทธภาษิตตรัสว่า สนฺตุฏฐี ปรมํ ธนํ ความรู้จักพอเป็นยอดทรัพย์ คนรวยหรือจนบางทีอยู่ที่ความรู้สึก ถ้าเรารู้สึกขาดประจำทั้งๆที่มีพอกินพอใช้อยู่แล้วนะแต่ยังอยากได้อีก เห็นเขามีอยากจะมีอย่างเขาอย่างนี้เขาเรียกคนไม่รู้จักพอ จึงจนอยู่ตลอด ความไม่พอใจจนเป็นคนเข็ญ พอแล้วเป็นเศรษฐีมหาศาล จนทั้งนอกจนทั้งในไม่ได้การ ต้องคิดอ่านแก้จนเป็นคนพอ ห คือ รู้จักให้ สังคมเราอยู่ได้เพราะมีการให้ ประเทศชาติเราต้องการคนดีเสียสละเพื่อบ้านเมือง ถ้าคนที่ไปทำงานหวังประโยชน์ส่วนตัวอะไรๆก็จะเอา ทุกคนคิดแต่ได้ประเทศก็ไปไม่รอด ทุกคนจึงต้องรู้จักให้กัน อยู่ด้วยกันมีปากมีเสียงบ้างให้อภัยกัน ยอมรับผิดกัน ไม่ว่าร้ายไม่ทำร้ายอย่างนี้เราก็อยู่กันได้ไม่ต้องกังวล ให้ความรักความเมตตาต่อกัน คนเราอาศัยกันจึงต้องปฏิบัติต่อกันด้วยความมีเมตตาท่านจึงบอกว่า เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เพราะคนเรายังมีการให้มีเมตตากันจึงไม่จับมีดจับปืนลุกขึ้นฆ่ากัน ที่เรายังอยู่เป้นสุขทุกวันนี้เพราะเรายังไม่ขาดธรรมข้อนี้เอง ดังนั้นถ้าเราอยากอยู่อย่างสบายต้องให้เมตตาแก่กัน กล่าวต่อกันด้วยเมตตา กระทำต่อกันด้วยเมตตา คิดต่อกันด้วยเมตตา สังคมก็อยู่ต่อไปได้ ช สุดท้ายคือช่างเถิด อันนี้ถือว่าสุดยอดเลย อะไรบ้างที่เกิดขึ้นกับเราเราเก็บมันมาไว้ไม่ได้ปล่อยออกไปเลยมันเลยเป็นทุกข์ เจอรถติดนั่งอยู่ในรถใจกระวนกระวายโทษรัฐบาล โทษคนขับ มองไปไหนมีแต่ปัญหา คำว่าช่างเถิดนี้สอนให้เรารู้จักปล่อยวางอย่างหนึ่งเป็นวิธีทำใจที่ได้ผล ล่าสุดนี้เห็นข่าวมาว่า ไปเติมน้ำมัน พอพูดไม่ถูกใจกันเท่านั้น ชักปืนมายิงกัน หลวงพ่อชา ท่าจึงบอกว่า เวลาโกรธโมโหขึ้นมา ดอกเตอร์หรือป.๔ก็โง่พอๆกันอะไรที่วางได้ก็หัดวางลงไปคำสรรเสริญนินทาก็อย่าไปจับไปถือเอามายึดเพราะสิ่งนี้เป็นโลกธรรมมีเสื่อมไป ไม่แน่นอน สมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ อาสภมหาเถร )ท่านได้ประพันธ์กลอนบทหนึ่งไว้ว่า ใครชอบใครชังช่างเถิด ใครเชิดใครชูช่างเขา ใครด่าใครบ่นทนเอา ใจเราร่มเย็นเป็นพอ เราเป็นชาวพุทธต้องมีปัญญาความสุขมันอยู่ไม่ไกลนักหรอก ปัจจุบันนี้คือโมงยามแห่งความสุข เราต้องมีสติรู้ทัน ความสุขมันซ่อนอยู่ที่ไหนมันอยู่ที่ใจเรา เราไปตามหาที่คนอื่นก็ไม่เจอ ไปหาที่เกาหลีก็ไม่เจอ ยิ่งถ้าเราเดินทางคนละเส้นกับความสุขแล้วยิ่งออกห่างจากความสุข สังเกตที่เราว่าเราเริ่มออกหากจากความสุขหรือยัง เราใส่ใจดูแลตัวเองไหม ชำระอกุศลในใจเราไหม ออกหากจากพระธรรมไหม น้อมนำธรรมะมาปฏิบัติไหม เราสร้างความดีใส่ตัวใหม่ความสุขเราเป็นคนเดินเข้าหาความทุกข์เราก็เป็นคนเดินเข้าหา เราจะเดินเข้าหาความทุกข์หรือความสุข ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมอันบุคคล ประพฤติดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรม อันบุคคลประพฤติดีแล้ว ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่ไปสู่ ทุคติ สภาพทั้งสองคือ ธรรมและอธรรม ย่อมมีวิบาก ไม่เสนอกัน อธรรมย่อมนำไปสู่นรก ธรรมย่อมนำให้ถึง สุคติ เพราะฉะนั้นแหละ บุคคลเมื่อบันเทิงอยู่ด้วยการ ให้โอวาทที่พระตถาคตผู้คงที่ตรัสไว้อย่างนี้ ควรทำความ พอใจในธรรมทั้งหลาย เพราะพระสาวกทั้งหลายของ พระตถาคตผู้ประเสริฐ เป็นนักปราชญ์ ตั้งอยู่แล้วใน ธรรม นับถือธรรมว่าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐสุด ย่อมนำตน ให้พ้นจากทุกข์ได้ ผู้ใดกำจัดรากเหง้าแห่งหัวฝี ถอนข่าย คือตัณหาได้แล้ว ผู้นั้นเป็นผู้สิ้นสงสาร ไม่มีกิเลสเครื่อง กังวลอีก เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญปราศจากโทษ ฉะนั้น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น