วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

อัมพสุตร ว่าด้วยบุคคลเปรียบเหมือนมะม่วง

อัมพสูตร ว่าด้วยบุคคลเปรียบเหมือนมะม่วง พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย มะม่วง ๔ ชนิดนี้ มะม่วง ๔ ชนิด อะไรบ้าง คือ ๑. มะม่วงดิบแต่ผิวสุก ๒. มะม่วงสุกแต่ผิวดิบ ๓. มะม่วงดิบและผิวดิบ ๔. มะม่วงสุกและผิวสุก ภิกษุทั้งหลาย มะม่วง ๔ ชนิดนี้แล" ภิกษุทั้งหลาย ในทำนองเดียวกัน บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วง ๔ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก บุคคล ๔ จำพวกไหนบ้าง คือ ๑. บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงดิบแต่ผิวสุก ๒. บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงสุกแต่ผิวดิบ ๓. บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงดิบและผิวดิบ ๔. บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงสุกและผิวสุก บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงดิบแต่ผิวสุก เป็นอย่างไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้มีการก้าวไป การถอยกลับ การแลดู การเหลียวดูการคู้เข้า การเหยียดออก การครองสังฆาฏิ บาตร และจีวรที่น่าเลื่อมใส แต่เขาไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงดิบแต่ผิวสุก เป็นอย่างนี้แล เรากล่าวเปรียบบุคคลประเภทนี้ว่าเหมือนมะม่วงดิบแต่ผิวสุก บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงสุกแต่ผิวดิบ เป็นอย่างไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้มีการก้าวไป การถอยกลับ การแลดู การเหลียวดู การคู้เข้า การเหยียดออก การครองสังฆาฏิ บาตร และจีวรที่ไม่น่าเลื่อมใส แต่เขารู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงสุกและผิวดิบ เป็นอย่างนี้แล เรากล่าวเปรียบบุคคลประเภทนี้ว่าเหมือนมะม่วงสุกแต่ผิวดิบ บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงดิบและผิวดิบ เป็นอย่างไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้มีการก้าวไปการถอยกลับ การแลดู การเหลียวดู การคู้เข้า การเหยียดออก การครองสังฆาฏิ บาตร และจีวรที่ไม่น่าเลื่อมใส และเขาไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงดิบและผิวดิบ เป็นอย่างนี้แล เรากล่าวเปรียบบุคคลประเภทนี้ว่าเหมือนมะม่วงดิบและผิวดิบ บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงสุกและผิวสุก เป็นอย่างไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้มีการก้าวไป การถอยกลับ การแลดู การเหลียวดู การคู้เข้า การเหยียดออก การครองสังฆาฏิ บาตร และจีวรที่น่าเลื่อมใส และเขา รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงสุกและผิวสุก เป็นอย่างนี้แล เรากล่าวเปรียบบุคคลประเภทนี้ว่า เหมือนมะม่วงสุกและผิวสุก ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วง ๔ จำพวกนี้แลมีปรากฏอยู่ในโลก (พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต เล่ม ๒๑ ข้อ ๑๐๕ หน้า ๑๖๒ ฉบับมหาจุฬา) บุคคลที่เหมือนมะม่วงดิบแต่ผิวสุก คือ ปุถุชนมารยาทดี บุคคลที่เหมือนมะม่วงสุกแต่ผิวดิบ คือ พระอริยะมารยาทไม่ดี บุคคลที่เหมือนมะม่วงดิบและผิวดิบ คือ ปุถุชนมารยาทไม่ดี บุคคลที่เหมือนมะม่วงสุกและผิวสุก คือ พระอริยะมารยาทดี

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปาฐกถา "วันสามเณร"ปี๕๔

สามเณรทั้งหลายโอกาสนี้เรามาประชุมร่วมกัน ในโอกาสอันพิเศษนี้มีทั้งท่านที่เป็นรุ่นพี่ตอนเป็นสามเณร มีทั้งเณรเล็กเณรใหญ่เณรโข่งหน้าไปแล้วแต่ไม่ยอมญัตติพระสักที "วันสามเณร"จัดขึ้นที่วัดสระเกศเป็นประจำทุกปี ปีนี้เจ้าประคุณสมเด็จท่านเป็นห่วงการศึกษาของสามเณรมาก มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์บ้านเราว่าสามเณรอ่อนภาษาไทย อ่อนมากอ่อนน้อยให้น้องสามเณรพิจารณาตัวเอง ถ้าเรายังไม่เก่งอันใดให้เราฝึกขอให้มีความขยันในกิจกิจส่วนตัว ธุระส่วนรวม การได้มาบวชจะเป็นพระเป็นเณรมีค่าเท่ากันทำดีก็เป็นศรีแก่ตัวเรา เป็นที่น่าเลื่อมใสของประชาชน ถ้าทำไม่ดีปฏิบัติไม่ดีก็มัวหมองไปถึงครูบาอาจารย์ผู้สั่งสอน พระศาสนาก็เป็นอันโดนผู้อื่นตำหนิ น้องสามเณรให้จำไว้ว่าจะทำอะไรให้ลูบดูหัวตัวเองก่อน มองดูเราว่าใส่ชุดอะไรถ้าไม่เหมือนชาวบ้านเขาการพูด การคิด การทำเราต้องสำรวมระวังอยากจะพูดเลยก็ไม่ได้อยากจะทำตามใจอยากนี้ก็ไม่ได้ เวลาโยมเขามองเรา เขามองเราสูงกว่าเขา ถึงแม้ว่าเราเป็นเด็กไม่รู้ว่าลูกใคร พอมาบวชเขาก็ไหว้เขาก็บูชา กิริยามารยาทการแสดงออกจึงต้องสำรวมให้มาก มีสุภาษิตไทยว่า "รากบัวหยั่งลึกตื้นชลธาร มารยาทส่อสันดานชาติเชื้อ" ถ้าเราทำดีเขาก็จะยกยอเรา ยกยอวัดยกยอครุบาอาจารย์ว่าสอนมาดี ถ้าเราทำไม่ดีประพฤติเสียหายเขาก็จะพาลมาว่าถึงสมภารเจ้าวัดมาถึงครูบาอาจารย์พลอยหนักใจไปตามๆกัน ถ้าเราสร้างศรัทธาให้โยมได้แล้วมันได้หมด ไม่ต้องมีอะไรมากหรอก ไม่ต้องพูดอะไรมากเขาก็เลื่อมใส จำได้ไหมตอนพระสารีบุตรไปเจอพระอัสสชิกำลังบิณฑบาตรกลางชุมชน พอมองเห็นปุ๊บเกิดความเลื่อมใสในกิริยามารยาทของสมณรูปนี้ว่าไม่เหมือนกับกิริยามารยาทในนักบวชลัทธิอื่น ตอนนี้พระสารีบุตรเกิดศรัทธาขึ้นแล้วนะ พอได้ฟังธรรมที่พระอัสสชิกล่าวเพียงสั้นๆเท่านั้นว่า ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุพระศาสดาตรัสเหตุนั้นและการดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดามีปกติตรัสอย่างนี้ สรุปได้ว่าคราวนั้นเราได้พระอัครสาวกมา๒รูปเป็นกำลังของพระศาสนาสืบมา สามเณรก็เป็นบุคลากรในพระศาสนาที่มีกำลังอยู่มาก สามเณรสฺส อปจฺจํ สามเณรคือเหล่ากอของสมณะถ้าสามเณรแข็งแรงไม่ได้หมายความว่าเราจะไปยกพวกตีกันนะหมายถึงเก่ง มีความรู้พระศาสนาเราก็มั่นคง เพราะเรานี้คือผู้สืบต่อพระศาสนา สืบต่อคำสอน สืบทอดอาจาริยวัตรของครูบาอาจารย์ ถึงแม้ว่าน้องเณรทั้งหลายมาจากต่างถิ่นกัน ต่างความเป็นอยู่แต่เรามาเป็นลูกของพระพุทธเจ้าพุทธบุตร พุทธชิโนรส ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติตามคำำสอนอันประเสริฐที่เรียกว่า "พรหมจรรย์" ขอให้พรหมจรรย์ของเราทั้งหลายนั้น จงเป็นไปเพื่อประโยชน์และการทำที่สุดแห่งทุกข์ทั้งปวง บวชมาแล้วจะบวชพระหรือเณรเป็นประโยชน์ทั้งนั้นและเป็นประโยชน์ที่อนุเคราะห์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายด้วย ดูถูกสามเณรไม่ได้นะพระเจ้าอโศกยอมรับนับถือพระศาสนาได้ก็เพราะสามเณรตัวน้อยๆอายุ๗ขวบเท่านั้นเป็นน้องเราด้วยซ้ำ อายุของพระพุทธศาสนาในประเทสศรีลังกาที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้เพราะกำลังของสามเณรรูปหนึ่งที่พยายามปกป้องรักษาคำสอนไว้และไม่ใช่ว่าจำวัดอยู่เฉยๆนะ่ท่านขยันเรียนมาก ขยันจำพระสูตรแรกอ่านบาลีไม่ได้เดินทางไปทั่วแคว้นเพื่อจะหาคนที่มาสอนตัวเองให้อ่านออกเขียนได้ พระอาจารย์ก็อยากจะเห็นสามเณรแห่งสยามประเทศเก่งอย่างนี้ ที่พูดมานี้พูดให้เห็นเป็ํนตัวอย่างว่าสามเณรนี้เป็นกำลังของพระศาสนา เราอย่าลืมตัวเรา ครูบาอาจารย์สอนถ้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ ต้องการรู้มากกว่านี้ก็ไปค้นต่อ ตู้พระไตรปิฎกอยู่บนศาลาจะล้มทับหัวอยู่แล้วไปเปิดอ่านดูไม่ใช่ว่าเราจะรอครูบาอาจารย์ ความรู้เิกิดจากการใฝ่หา คนที่ขยันลุกออกจากที่นอน จากเกมส์เท่านั้นจึงจะได้ความรู้เพิ่มขึ้นไม่ใช่โยมถามสติคืออะไร พระพุทธเจ้าแสดงธรรมจักรอย่างไร ไม่รู้ อธิบายให้โยมไม่ได้ แต่พรีเมี่ยม เอฟซีรู้ละเอียดยิบ อันนี้อายโยมเขานะ ทุกวันนี้โยมศึกษาธรรมเยอะเขาสนใจมากเหมือนกันแล้วถ้าเราไม่พัฒนาเราก็จะเป็นสามเณรที่ล้าหลัง ถ้าเรายังเรียบแบบเช้าชามเย็นชาม ไปไม่รอดอยู่เป็นเณรก็ไม่รอดออกไปข้างนอกยิ่งต้องแข่งขันมาก นี้รูปท่านเจ้าคุณอาจารย์ปยุตฺโต พระพรหมคุณาภรณ์ นี้ไม่ใช่พระธรรมดานะยี่ห้อระดับโลก แต่ก่อนท่านก็เป็นสามเณรชื่อสามเณรประยุทธ อารยางกูร ท่านก็มาจากบ้านนอกเหมือนเราเข้ากรุงมาเหมือนกัน มาบวชท่านก็ท่องเหมือนเรา เรียนเหมือนเรา ปุริโส ปุริสา สิ โย อํ โย นา หิ เหมือนเรา ใครจะไปรู้ละนั่งฟังอยู่ตรงนี้จะเป็นบุคคลสำคัญโลกคนต่อไป สู้ๆนะ เรามีตัวอย่างเป็นครูบาอาจารย์ของเราเอาท่านเป็นแบบอย่าง วัดที่บ้านยังเป็นวัดร้าง มีหลวงตาจำพรรษาอยู่ กลับไปบ้านเราก็ไปช่วยท่านได้ ได้เรียนอะไรมา ที่ถูกที่ควรกลับไปช่วยท่านพัฒนาก็ได้ ก็ใครจะไปทราบละตัวเล็กๆต่อไปจะเป็นผู้นำจิตวิญาณของชุมชน ท่านเจ้าคุณอาจารย์พยอมเป็นทั้งนักเทศน์ นักพัฒนา นักเผยแผ่ เทศน์จนเป็นลมเอาอย่างท่านขยันเหมือนที่ท่านว่าไว้ "ขยันให้เหงื่อออกทุกรูขุมขนดีกว่าขี้เกียจแล้วยากจน จนน้ำลนออกทางตา" บางทีเณรที่คิดว่าจบม.๖จะสึกๆบอกหลวงพี่ว่าไม่ไหวแล้วครับผ้ามันร้อนอาจจะเป็นเจ้าอาวาสก็ได้ เพื่อนพระอาจารย์เรียนด้วยกันมาทำท่าจะไปตั้งแต่ม.๓จบม.๖แม่บอกรอก่อนเอาป.ตรีบวชพระให้โยมแม่ก่อน ตอนนี้โยมแม่กลับมาถามว่าจะสึกเมื่อไหร่ลูก ตอนนี้ลูกชายบอกรอก่อน เดี๋ยวนี้กำลังสร้างศาลาอยู่เป็นเจ้าอาวาสแล้ว มันไม่แน่นะ สำหรับตัวเราแล้วเรื่องต่างๆมันเป็นอนาคต ถามน้องเณรทุกคนอดีต อนาคต ปัจจุบนอันไหนสำคัญที่สุด...(ปัจจบันครับ) ปัจจุบันนะ ปัจจุบันนั้นคือความจริง ระหว่างเรื่องเพ้อฝัน เรื่องที่ผ่านผันมาเราจะอยู่กับอะไร ถ้าเราเลือกอยู่กับอนาคตก็จะได้แต่ฝันถึงวันพรุ่งนี้ ฉันเช้าเสร็จก็นอนรอโยมมาถวายเพลอย่างเดียวกิจวัตรไม่ได้อะไรคือความเจริญในชีวิต ใจไปอยู่กับอดีตไม่น่าบวชเลย โดนบังคับบวชคิดถึงเพื่อนเก่า บวชแล้วต้องนั่งสมาธิ สวดมนต์เดินๆนั่งๆ ท่องภาษาอะไรก็ไม่รู้ อยู่ไม่ได้ มันก็ไม่เป็นสุข ถ้าเราจะเอาอนาคตก็ฝันเอา อยากเรียนเก่งก็ฝันเอา นอนฝันเอาก็ได้ โลกนี้มันเป็นความจริงของมันและมันก็ไม่เคยโกหกใครนะ เราต่างหากไปเป็นคนหลงความจริงนั้น อยากมีมันก็เป็นทุกข์ ไม่อยากมีมันก็เป็นทุกข์ ไม่อยากเกิดมาเ็ป็นสามเณรจตุพงศ์เลย มันโง่จัง อันนี้ก็เป็นทุกข์ อะไรเราก็อย่าไปหลงมัน ธรรมอันยังประโยชน์ให้สำเร็จได้และมีอุปการะมากคือสติ สัมปชัญญะ๒อย่างนี้เป็นรวมลงแห่งอรรถะและประโยชน์ ปัจจุบันนี้เราเป็นสามเณร ให้อดทนตั้งใจต่อการกระทำความดี ทำความดีจะเป็นผลก็ต่อเมื่อเราไม่ละทิ้งความดีนั้นและความดีนั้นก็ไม่ทิ้งเราเป็นคุณสมบัติของเรามีแต่ความดีเท่านั้นที่เขาจะยกย่องเชิดชู จะอยู่ก็ให้ทำความดีออกไปแล้วก็ยังรักษาความดีนั้นเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีต่อไป

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กำลังใจไม่มีวันหมด

ทุกคนทำงานหนักทุกคนแต่ไม่อยากให้เครียด งานหนักมันก็ต้องเหนื่อย บางทีงานที่ทำไม่มีค่ากำนัลตอบแทน แต่ที่จะทำงานให้มีความสุขได้คือความพอใจในงานที่เราทำ ทราบข่าวว่าพนักงานแพ็คของทำงานหนักมากหรือจะเป็นส่วนใดๆขอให้กำลังในทุกส่วนทราบว่าบางทีถึงต้องพลัดเวรกันทำคนที่ลงไปเป็นจิตอาสาอย่างนี้เรียกว่าทำเพื่อประเทศชาติ ถ้าเราไม่ทำหรือทำคนเดียวงานที่ทำก็จะยากไม่ว่าจะเป็นในองค์กรหรืองานส่วนรวมงานนั้นหรือองค์กรนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจอันดีต่อกันบรรยากาศแห่งความสุขก็ไม่มี ที่ออกมาทำอย่างนี้เรียกว่าความสามัคคี ความสามัคคีนี้เป็นพลังเป็นธรรมที่มีอำนาจ ถ้างานนี้ต่างคนต่างทำมันก็ไม่เป็นพลังไม่เกิดความสามัคคี เรื่องของโลกมันเป็นเรื่องธรรมดา ชาวบ้านที่น้ำท่วมทำอย่างไรดี อันนี้หนีไม่พ้นความจริงแล้วถึงแม้ทรัพย์สินจะเสียหายแต่หากครอบครัวเรายังอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันก็เป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง ความท้อความเสียใจอาจจะเกิดขึ้น ภัยธรรมชาติมันเป็นเรื่องของธรรมชาติเราจะห้ามฝนห้ามฟ้าห้ามน้ำไม่ให้ไหลก็ไม่ได้แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญมากกว่าที่เราได้ช่วยเหลือกันอันนี้สำคัญอย่างยิ่ง โบราณว่าไว้ว่า"รู้เท่าเอาไว้ป้องกัน รู้ทันเอาไว้แก้" ก่อนอื่นขอให้ตั้งใจของเราไว้ให้ดีก่อนเพราะความเครียดมันจะเกิด ทุกข์เพราะการสูญเสีย ทุกเพราะประสบกับสิ่งที่ไม่ต้องการไม่อยากประสบพบเจอมันไม่ถูกใจเราไม่ต้องการให้น้อมใจเข้าหาความจริงเห็นมันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างนี้คงพอเป็นที่สบายใจ ทุกอย่างมีทางเริ่มต้นใหม่เอาใหม่ค่อยสู้้กันอีกที คนที่ลงไปทำงานช่วยเป็นจิตอาสาบ้างข้าราชการที่ลงไปดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชนขอให้ตั้งใจของเราไว้ในฉันทะธรรม ถ้าหากมันยังไม่เกิดมีให้สร้างฉันทะนี้ขึ้นมามองให้เห็นประโยชน์ในส่วนงานที่เราทำงานนี้ถึงจะไม่มีผลกำไรแต่ที่จะได้คือน้ำใจที่ประเสริฐ พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ก็บำเพ็ญธรรมนี้คือจาคะความเสียสละเเสียสละความสุขส่วนตัวในพระราชวังมานอนกลางดินกินกลางทรายเดินทางประกาศพระศาสนาไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพราะพระองค์ตั้งใจของพระองค์ไว้ในธรรมที่จะยังประโยชน์แก่มหาชน รุ่นต่อเป็นพระสาวกก็ทำงานนี้หนักเช่นกันดูตัวอย่างหลวงพ่อชาถึงสังขารท่านจะเป็นอัมพาตแต่งานที่ท่านทำเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขของชาวโลก หลวงตามหาบัวท่านมีร่างกายสังขารถึง๙๐แต่กำลังใจในการทำงานไม่เหน็ดเหนื่อยจนวาระสุดท้ายก็ทำงานเพื่อประโยชน์สุขของชนหมู่มาก หลวงพ่อปัญญาท่านแสดงธรรมจนวาระสุดท้ายของท่าน พระศาสดารวมทั้งพระสาวกทั้งหลายเหล่านี้ต่างก็ตั้งฉันทะธรรมไว้ในใจ วิริยะในการประพฤติปฏิบัติธรรมหรืองานที่ท่านทำ เป็นเหตุให้ไม่รู้จักคำว่าเครียดหรือท้อ เหนื่อยได้แต่ไม่ได้ท้อหรือล้มเลิกงานที่เราทำฉันทะที่ตั้งไว้ดีก็ทำให้ความมั่นคงของงานเกิดด้วยจิตตะคือความตั้งใจไว้ดีนั่นแล วิมังสาไตร่ตรองเสมอพิจารณางานนีที่เราทำว่าเป็นประโยชน์ได้มหากุศลมีน้ำใจพระโพธิสัตว์อันนี้เป็นบุญด้วยแท้ เห็นพี่น้องเราช่วยกันบริจาคเป็นเงินทองหรือเป็นเครื่องอุปโภคบริโภคนับว่าได้ทำบุญที่ใหญ่พระศาสดาตรัสว่าเป็นกาลทานเป้นทานที่มีอานิสงสิืมากจัดอยู่ใน ทุพพิกขทาน ให้ทานเมื่อเกิดเหตุเภทภัยไม่ว่าจะเป้นน้ำท่วม ไฟไหม้ หนาวจัดอันนี้จัดเป้นทุพพิกขทานเป้นมหาทาน มีเรื่องพอจะเล่าให้ฟังในที่นี้ว่าครั้งหนึ่งมฆมานพนี้กำลังสร้างถนน สร้างศาสาท่าน้ำให้ผู้คนได้พักได้ดื่ม มีคนกลุ่มหนึ่งมาเห็นมฆมานพนี้นี้ทำงานก็เลยเข้าไปถามว่าท่านกำลังทำอะไรมฆมานพก็บอกความตามนั้นว่าจะทำให้คนส่วนมากที่เดินทางไปมาได้พักไ้ด้อาศัย คนเหล่านั้นเห็นว่าเป็นประโยชน์ดีนักแล จึงได้ช่วยมฆมานพทำงานขุดบ่อ สร้างศาลา ปรากฏว่าเมื่อถึงคราวล่วงลับดับกาลมฆมานพไปเป็นพระอินทร์ส่วนคนทั้งหลายที่ไปช่วยมฆมานพแม้ว่ามฆมานพจไม่ได้เอ่ยให้คำว่าวานช่วยด้วยไปเกิดบนสวรรค์ยามาเป็นสวรรค์ที่อยู่สูงกว่าชั้นดาวดึงส์ของพระอินทร์ ตอนนี้เรากำลังทำงานอนุเคราะห์แก่ชาวโลกทำงานเพื่อประโยชน์และความสุขของมหาชนเป็นบุญแล้วก็บุญใหญ่เพราะประโยชน์ที่ได้ตนเองได้ทำทานที่เรียกว่าจาคะคือเสียสละความเห็นแก่ตัว ความอาลัย เวลา ครอบครัวความสุขสบายเสียสละออกหมดไปทำงานเพื่อพี่น้องประชาน คนส่วนมากก็ได้รับประโยชน์จากความช่วยเหลือของเรา ท่านทั้งหลายขอให้ตั้งใจให้ดีเถิดว่าจะทำประโยชน์ของตนและของผู้อื่นให้สำเร็จการที่ทำนั้นนับว่าเป็นมหากุศลของให้ท่านตั้งใจใจการทำงาน พี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี้ก็ให้ดำรงตนด้วยสติ มีพุทธภาษิตกล่าวไว้ตอนหนึ่งในกึสีลสูตรว่า .นรชนเหล่าใดนั้นดำรงอยู่ด้วยดีแล้วในขันติ โสรัจจะและสมาธิ ได้บรรลุถึงธรรมอันเป็นสาระแห่งสุตะและปัญญา ขออนุโมทนาในกุศลที่ทุกคนทุกท่านได้ร่วมกันทำมา ของให้กำลังทุกคนทุกท่าน เจริญพร

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รู้อดีต รู้อนาคตรู้ปัจจุบันรู้ให้ชัดเห็นให้ชัด

แก้ไข อดีต อนาคต ปัจจุบัน รู้ให้ชัด มีธรรม๓อย่างที่เราควรยกขึ้นมาพิจารณาให้เห็นชัด เพื่อจักได้กระทำให้เป็นที่พึ่งแก่ตัวเป็นสมบัติแก่ตัว เป็นการสอนใจตัวเองเอาไว้ไม่ให้ไปอยู่ไกลจากตัวเราคือ อดีต อนาคต ปัจจุบัน ๓อย่างเบื้อต้นนี้ปัจจุบันสำคัญที่สุดแต่ถ้าหากเราไม่ยกขึ้นมาพิจารณากันก็อาจจะเป็นเพราะความหลงลืมบ้าง ไม่รู้บ้าง มันก็จะทำให้เราหลงอยู่ในอารมณ์อดีตบ้าง อารมณ์อนาคตบ้าง เลยไม่ได้ทันพิจารณาปัจจุบันสักเท่าไหร่ คำว่าความปรุงแต่งมันก็คืออารมณ์ความคิดนั้นเองไปปรุงแต่ง ไม่มีอะไรปรุงแต่งให้มันดีหรือไม่ดีนอกจากตัวเรานี้ พิจารณาเพ่งเข้ามาก็คือตัวเราความคิดของเรา ของดี ของชั่วมันก็เกิดจากปรุงแต่งของเรา วิธีแก้ก็คือแก้ที่ความคิด คิดอย่างไรไม่ให้มันเป็นไปในความปรุงแต่งความยึด นั่นก็คืออย่าไปคิดอะไร ให้รู้ไว้ รู้คือรู้ รู้ก็รู้ดูเฉยๆ สักแต่ว่า ตามที่มันเกิด รู้ตามที่มันเป้นอย่างนี้ก็เรียกว่ารู้อยู่ในขณะปัจจุบัน พระพุทธเจ้าท่านเคยอุทานไว้ว่าเราแสวงหาซึ่งนายช่างผู้ปลูกเรือน บัดนี้เรารู้แล้วเห็นแล้วมันคือตัวนี้เองคือตัณหา โอ้มันเป้นความหลง ท่านอุทานให้เห็นปรากฎชัดว่า บัดนี้เรามาเจอเจ้าเรารื้อโครงสร้างของท่านแล้วอย่างนี้เรียกว่ารู้เช่นเห็นชาติกันเลยทีเดียว ด้วยว่าพระองค์ได้พิจารณาธรรมได้รู้ว่าธรรมทุกอย่างมันไหลรวมมาสู่ใจ ธรรมดานี้ถ้ามันรู้แล้วมันก็ไม่เป็นอะไรแต่ถ้ายึดมั่นในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสเสียแล้วก็ได้ชื่อว่าติดบ่วงเข้าจนได้ออกไปไหนไม่ได้แล้ว ถ้าเราไม่ได้พิจารณาแยกแยะให้เห็นชัดก็ออกจากทุกข์ไม่ได้ ไม่ได้คิดก็ไม่ทันได้เห็นถึงต้นตอที่เกิดและกระแสธรรมที่ไหลไป มีปัญญานี้ให้ยกขึ้นมาสอนใจตัวเองเรียกว่าปัญญาอบรมใจ สอนตัวเองให้มองเห็นสัจธรรมถ้ามันจะหลงก็ยกให้ยกความจริงขึ้นมาสู้กัน ข่มมันไว้อย่าให้มันฟูอย่าให้มันจมลง สอนใจตัวเองให้เข้าใจความจริง สมมุติว่ากิเลสบอกว่าอันนี้งาม น่ายินดีนักแต่ความจริงมันก็ไม่ได้เป้นอย่างนั้นมันมีอยู่ว่า ของมันไม่เที่ยง ของมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปยกตัวนี้ขึ้นมาพิจารณามันก็คลายกำหนัดลงไปได้ ความโกรธมันเกิดขึ้นก็พิจารณาลงตรงนี้ ความโลกเกิดขึ้นก็พิจารณาลงตรงนี้ ความหลงเกิดขึ้นก็พิจารณาลงรงนี้ถ้าพิจารณาได้จะเห็นว่าของๆเราที่มีอยู่ก็เป้นของไม่น่ายึดถือน่ายินดี ของๆคนอื่นที่มีก็เหมือนกันไม่น่ายึดถือไม่น่ายินดี อย่างนี้ความโลภก็หาย เราก็ไม่ได้ลุแก่ลาภแก่ยศแก่อำนาจกัน ความยึดในตัวเรา ความยึดในผู้อื่นก็ไม่มี ยถา ปญาย ปสฺสติ เมื่อใดที่เห็นด้วยปัญญาย่อมเข้าใจได้ดีแยบคาย เมื่อรู้เมื่อเห็นอันใดก็ไม่พึงยินดีให้รู้เฉพาะสิ่งนั้นมันคืออะไร สังขารความปรุงแต่งมันเป็นไปในอารมณ์ทั้งหลาย๓อย่างเบื้องต้นนั้นคือ อดีต อนาคต ปัจจุบัน ความปรุงแต่งนี้มันทำให้จิตฟุ้งซ่านไปในอดีต แล่นไปในอนาคตมันไม่อยู่ในปัจจุบันท่านว่าถ้ามันฟุ้งซ่านจะยืนคิด เดินคิด นั่งคิด นอนคิดมันฟุ้งไปได้หมดเหมือนเรากินเหล้ากินในอิริยาบถใดเมื่อมันเข้าไปถึงคอมันก็เมาหมด ถ้าเราปรุงแต่งก็เหมือนเทน้ำลงในตุ่มที่มีรูรั่วไม่เต็มไม่พอไม่มีวันที่จะอิ่มในความพอใจ แต่ละเรื่องมันก็อยู่ในกามคุณที่นั้น หลักใหญ่ท่านว่าไว้มี๒อย่าง ๑.กายสังขาร ๒งจิตสังขาร เรื่องนี้มันเป็นเรื่องทีจักต้องแก้ไขปล่อยให้ไฟติดมันก็จะลามไป ยากที่จะแก้ไขดับลงได้ ไฟมันลุกแรงบ้าง เบาแรงลงไปบ้างตามเชื้อไฟ ถ้าเชื้อไฟยังมีมันก็ลุกเป็นไฟเสมอได้ตลอดเวลา ตัณหายังมีมันก็เป็นเชื้อ ความโกรธนี้มันก็เป็นเชื้อ ความโลภก็เป็นเชื้อ ความหลงก็เป็นเชื้อ เพราะมันจะยังมีความรักความหลงอยู่ ไฟเสมอด้วยราคะไม่มี ไฟเสมอด้วยโทสะไม่มี ไฟเสมอด้วยความหลงไม่มี ถ้าความจริงมันเป็นอย่างหนึ่ง เราเข้าใจไปอีกอย่างหนึ่ง การกระทำเป็นอีกอย่างหนึ่งมันก็ถอนยาก ถอนทุกข์ได้ยาก ถอนโลภ ถอนโกรธ ถอนหลงได้ยาก หลงของที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง หลงของที่ไม่สุขว่าสุข หลงของที่ไม่งามว่างาม หลงของที่ไม่มีตัวตน ว่าเป็นตัวตน เมื่อสิ่งเหล่านี้มันไม่เป็นตามใจต้องการ นั่นคือความทุกข์ หีบศพที่ประดับด้วยดอกไม้ของงาม แต่ภายในนั้นก็คือซากเน่าอันเป็นของน่าเกลียด การปรุงแต่งในสมมุติก็เป็นอย่างนั้น สิ่งทั้งหลายมันเป็นธรรมชาติ เราไปสมมุติว่ามันเป็นตัวเราแล้วก็สมมุติต่อไปอีกว่ามันเป็นของเรา ใจจึงได้เกิดความหลง ไม่รู้แจ้งเห็นจริงในของสมมุติจึงเรียกว่า อวิชชา ความไม่รู้จริง ความไม่รู้จริงนี้ปิดบังไว้บังตาบังใจเรา มันเลยกลายเป็นความเคยชินจนเป็นของธรรมดา ว่าไปแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว เราไปแก้ที่ใครไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็แก้ให้ไม่ได้ แก้ที่ลูกก็ไม่ได้อีก แก้ที่พ่อแม่ก็ไม่ได้ ปัญญาตัวนี้อยู่ในตัวเราอยู่ เพียงแต่ไม่ค่อยได้ฝึกมันเท่านั้น มันจึงไม่ตั้งขึ้นมั่นคงไม่มีกำลังที่จะไปสู้กับกิเลสตัณหา วีปฏิบัติก็คืออย่าหลบปัญหา ให้เลือกเฟ้นธรรมที่จะนำมาปฏิบัติแก้ความเห็น ปัญญาก็คือความคิด สังขารก็คือความคิดแต่ตัวนี้มันต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว คิดไปตามสังขารจะมีอาการเป็นไปตามกามคุณ ว่าน่ารักน่าใคร่ ส่วนปัญญานี้ก็จะรู้ได้ว่า ไม่เที่ยง ไม่นานจักดับไป กามคุณเป้นของไม่สะอาด อาหารที่เคี้ยวไปก็สกปรก อาหารที่ไหลออกก็สกปรก สิ่งที่ไหลออกมาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทวารหนัก ทวารเบาก็เป้นิส่งของสกปรก เป็นทุกข์เป็นอนัตตาเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดลักษณะนี้เรียกว่า วิปัสสนาญาณ