วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ปีใหม่นี้เริ่มต้นอย่างไรให้รุ่งโรจน์
ปีใหม่นี้เริ่มต้นอย่างไรให้รุ่งโรจน์
-สวัสดีปีใหม่
ก่อนอื่นขอกล่าวคำว่าสวัสดีปีใหม่มายังทุกท่าน วันนี้เป็นวันสิ้นปีและเป็นวันที่ประชาชนทั่วไปเริ่มการฉลองปีใหม่มีความสุขกันและทำกันทั่วโลก ถือว่าเป็นวันปีใหม่ร่วมกับคนทั้งโลก เราเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความสุขด้วยการทำความดีท่านถือว่าเป็นบุพพนิมิตตั้งต้นไว้ดีแล้ว เวลาผ่านมาครบ๑ปีนี้ถือว่าเป็นเวลาที่มากเหมือนกัน เราก็ได้นับ๑เริ่มต้นปีใหม่ หลายคนหลายท่านก็ใช้เวลานี้เป็นช่วงที่สำรวจตัวเองเพื่อที่จะปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่าง
ครบรอบปีใหม่แต่ละครั้งเราพากันมีความสนุกสานเราคิดสังสรรค์ใช้เวลาปีใหม่ในการหาความสุขแต่เราก็อย่าลืมว่าก็ยังมีคนอื่นที่มีความทุกข์อยู่ก็มี
เราอย่าพากันสนุกสนานมากไปทำให้อยู่ในความพอดีถูกต้อง พอเรามามองในทางธรรมะท่านก็จะเตือนเราว่า เวลาผ่านไปย่อมจะกลืนกินเรา ท่านก็สอนเราให้รู้จักใช้เวลาไม่ให้ผ่านไปเปล่าประโยชน์เวลาผ่านไปอย่าห่านไปเปล่าไม่ได้มากก็ได้น้อยแต่ให้ได้สักอย่างก็ดี
พูดถึงคำว่าได้มากได้น้อยคนก็คิดไม่เหมือนกัน บางคนก็อาจจะบอกว่า ได้เงิน ได้เรียน ได้ทำงาน แต่อยากได้ประโยชน์จริงๆเราต้องพิจารณาทุกๆวันถามตัวเองว่าเราทำประโยชน์อะไรถ้าไม่ได้อะไรจริงๆก็เอาก่อนนอนถึงวันนี้ไม่ได้อะไรแต่ถ้าใจสงบได้ก่อนนอนก็ถือว่าคุ้ม ได้ๆเล็กๆน้อยๆก็ถือว่าคุ้มเพราะกว่าจะ๑ปีก็มากโขทีเดียว เพราะพุทธเจ้านี้สอนสาวกให้รักษาเวลาอยู่ทุกขณะ ขโณ โว มา อุปจจคา
จะปฏิบัติอย่างไรก็ตามเกี่ยวกับหลักเวลาที่ว่าใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ก็พูดถึงหลักความไม่ประมาทนั่นเอง ถ้าเราระลึกได้อยู่ว่าอะไรคือหน้าที่ อะไรคือกิจที่ต้องทำเราก็จะได้ประโยชน์จากการงานของเรา พระพุทธเจ้ารับรองว่าคนมีสติไม่เสื่อมมีแต่เจริญ แต่ถ้าไม่มีสิตมีความประมาทก็จะทำให้เฉื่อย เหนื่อย เรื่อยเปื่อย บางคนประสบความสำเร็จแล้วก็หลงระเริงพอเจอพิษของอนิจจังเสื่อมเป็นทุกข์ นี้เป็นเรื่องของความไม่ประมาทกับสติเพราะพุทธเจ้าท่านย้ำตลอด
ปีใหม่นี้ก็ทำกิจด้วยความไม่ประมาทใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท เราจะปฏิบัติอย่างไรความใหม่นี้เป็นเรื่องทีดีเพราะคนชอบ เจออะไรที่ใหม่ๆเราก็สุขสดชื่น
ปีใหม่นี้เริ่มต้นอย่างไรให้รุ่งโรจน์
ปีใหม่นี้รอเราอยู่๓๖๕กว่าวัน เราจะต้องสร้างพลังขึ้นในใจถ้าใจมีพลังแล้วทำอะไรสำเร็จได้คำว่าใจมีพลังคือเป็นอิสระหมายความว่าอย่างไร ยกตัวอย่างช้างนี้เป็นสัตว์มีกำลังแต่ถ้ามันถูกตรึงไว้มันก็ไปไหนไม่ได้ ชีวิตเราก็ต้องทำให้ใจมีพลังใจมีพลังคือไม่มีกิเลสทำให้เศร้าหมองอย่างพระสงฆ์เรานี้ถ้าใจไม่มีพลังก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้ เราจะเข้าสู่ปีใหม่แล้วเราจะทำอย่างไรต้องเตรียมใจให้ดีไม่ใช่ท้อตั้งแต่ต้น
เริ่มต้นปีใหม่นอกจากสุข สด ชื่น ต้องให้ได้ปัญญามาด้วย เหมือนบางคนบอกว่าเตือนตัวเองทุกปีว่าปีใหม่ จะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ สุดท้ายเราก็ยังเป็นเหมือนเดิมทุกปี เพราะใจเราไม่มีพลังไม่มีวิริยะพะละเพราะอันนี้ก็สำคัญเพราะมีปัญญาแล้วแต่ขี้เกียจนี้ก็เสื่อมไม่พัฒนา
พลังทั้ง๕
๑.ปัญญาพะละ
๒.วิริยะพะละ คนมีความเพียรนี้เป็นคนที่มีพลังมากอย่างเรื่องในชาดกนกกระจาบจะวิดน้ำในมหาสมุทรเพื่อตามหาลูกที่ตกลงไปในน้ำนกกระจาบตัวเล็กๆแต่มีความเพียรที่จะวิดน้ำในมหาสมุทรให้แห้งจร้อนถึงพระอินทร์
๓.อนวัชชะพะละ ความสุจริตอันนี้เป็นตัวสำคัญความสุจริตเป็นกำลังมือสะอาดนั่นเองถ้าเรามีความสุจริตก็ไม่หวั่นไหวใครจะว่ามั่นใจ ทำงานได้เต็มที่ ต้องเตรียมตัวไว้แต่ต้นเลย
๔.สังคหพลัง การช่วยเหลือกันการทำประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่นเรียกว่าการสงเคาระห์นั่นเอง
ได้๔ข้อนี้ถือว่าปีใหม่นี้เรามีพลังที่พร้อมจะเดินหน้าแล้วจะอย่างไรก็ตามไม่ว่าปีใหม่หรือวันพรุ่งนี้ก็มีค่าเท่ากันเพราะจริงๆแล้วเวลามันเปลี่ยนตลอด มันก็เป็นเรื่องท้าท้ายเหมือนกันเพราะเราไม่รู้
ว่าวันข้างหน้าจะมีอะไรอะไรจะเกิดขึ้นแม้แต่การเดินก็ต้องใช้กำลังแต่เราต้องมีปัญญานะใช้ปัญญาคิดว่าเดินอย่างไรไม่ให้เหนื่อย ตกหลุมแล้วจะทำอย่างไรเพราะเราก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแต่นั่นเราต้องมีความสามรถที่จะต้องรับมือ บ้านเมืองเราก็เหมือนกันเราก็ประมาทไม่ได้จะบริหารอย่างไรให้ประสบความสำเร็จก็อาศัยพลังทั้ง๔นี้คือปัญญา วิริยะ อนวัชชะ(สุจริต) สังคหะ(ประโยชน์ประชาชน)
เราจะอยู่อย่างไรให้เป็นสุขเราก็ต้องตั้งใจดีต่อกันคนในประเทศนี้ก็ต้องตั้งใจในความปรารถนาไว้ให้ดีต่อกัน คนในโลกนี้จะอยู่อย่างมีความสุขทั้งปีใหม่และตลอดไปก็คือปรารถนาดีต่อกันไม่จองเวรกันทั้งอาฆาตพยาบาทเบียดกัน ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิตรักษาตนด้วยการไม่เบียดเบียนตนเอง(อบายมุข)รักษาผู้อื่นด้วยการไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน(เบญจธรรม)
ปีใหม่นี้ขอให้ทุกท่านมีความสุขตลอดไปขออ้างเอาคุณพระรัตนตรัยอันเป็นสรณะที่พึ่งของพุทธศาสนิกชนจงช่วยปกป้องคุ้มครองทุกท่านให้เป็นผู้มีความสุขความเจริญปรารถนาสิ่งใดอันเป็นด้วยชอบประกอบด้วยธรรมขอความปรารถนานั้นจงสำเร็จดุจพระจันทร์วันเพ็ญ สาธุ
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554
-ความยึดมั่น
-ความยึดมั่น
เรื่องยึดติดถือมั่นมีเรื่องที่ต้องพิจารณาต้องบอกว่าเรื่องความไม่ยึดมั่นนั้นเกิดจากความรู้ความเข้าใจที่เรียกว่า"ปัญญา"ซึ่งทางพระพุทธศาสนาเรียกว่าการรู้เห็นความจริง(ของสิ่งนั้นๆ)เมื่อรู้ความจริงแล้วก็จะไม่ต้องเข้าไปยึดเพราะรู้ความจริงแล้วจิตจะถูกเรียกว่าเป็นอิสระคำว่าอิสระนี้จิตไม่ได้เป้นอิสระได้เองจิตจะเป็นอิสระได้ด้วยปัญญาถ้ายังไม่พิจารณาก็จะไม่มีทางเห็นหรือพิจารณาแล้วแต่ไม่ตัดก็ยังจะยึดติดอยู่อย่างนั้น
สมมุติขอยกตัวอย่างมีคนเอาทองมาเเราก็อยากได้ทองบอกว่าผมขายทองนะจริงๆนะทองราคาสูงแต่ว่าผมขายให้บาทละ๒,๐๐๐ เอาไหมเราก็เกิดความอยากได้ขึ้นมาแล้วเราก็เกิดความอยากยึดแล้วทีนี้พอเกิดปัญญารู้ด้วยอะไรก็แล้วแต่จิตก็หลุดเองเลยทีนี้มันปล่อยเองเลย เกิดวันใดวันหนึ่งเรารู้สภาวะธรรมเรารู้โดยชัดเจนจิตมันหลุดเองไม่ต้องไปปลดเปลื้องมันหรอก นี้แหละที่เรียกว่าการไม่ยึดมั่นถือมั่นคือต้องอาศัยการรู้จริง
ด้วยปัญญา
อย่างเรามีความอยากเรื่องของมนุษย์ดลกเราก็เห็นด้วยเหตุผลของแต่จิตของเราก็ยังยึดเช่นท่านว่ามันไม่เที่ยงนะ มันเป้นทุกข์นะเราก็เห้นด้วยท่าน็พูดจริงนะแต่สภาวะจิต(ปัญญา)ของเรายังไม่เห็นไม่ถึงขั้นนั้นเราสวดมนต์ๆสังขารเป้นทุกข์ รูปไม่เที่ยงๆเราก็ว่าไปแต่ทีจริงจิตยังยึดมั่นอยู่ ทีนี้ก้มีคนบางพวกเอาละนะทีนี้ฉันจะไม่ยึดมั่นฉันจะปฏิบัติตอนนี้การไม่ยึดมั่นก็เลยเป็นการยึด
มั่นในการปฏิบัติของเรา
ในความไม่ยึดมั่นมันก็จะเกิดคำพูดที่ว่าโอ้ยอันนี้ไม่ใช่บ้านเราไม่ใช่สมบัติของเราเป็นยังไง อันนี้ไม่ใช่ลูกเมียเราเพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องไปใส่ใจหรอกปล่อยๆไปตกลงมันก็เสียหายไป การทำเราก็ต้องทำด้วยเหตุผลทำด้วยปัญญา
สรุปแล้วก็คือสำหรับปุถุชนอย่างเราที่เห็นว่าความยึดมั่นไม่ดีเราก็ปฏิบัติตามหลักนั้นตามเหตุปัจจัยที่มันเป็น มันไม่ได้เป็นไปตามใจอยากของเรา เราไปยึดมันก็เป็นทุกข์มันบีบคั้นใจเรา มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยมันมีสภาวะของมัน เราปุถุชนทำได้อย่างนี้ก็คือการรู้ตามเป็นจริงทำได้อย่างนี้ก็ดี เราต้องพิจารณาอย่างสม่ำเสมอว่าเราจะต้องฝึกตนอยู่เสมอตระหนักในการฝึกตนเพื่อการทำที่สุดแห่งความทุกข์
วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554
-เชือกผูกภพ-
-เชือกผูกภพ-
คำว่า"สังโยชน์" เป็นโซ่ตรวนที่ผูกโยงมนุษย์ไว้กับกิเลสที่ทำให้ติดข้องอยู่ในวัฏสงสารอันยาวนานแต่พระอรหันต์ได้ตัดโซ่ตรวนแห่งสังโยชน์หมดแล้วจึงเป็นอิสระจากภพ เพราะไม่ต้องมาเกิดอีก คนที่ละเลยธรรมะจะไม่สามารถตัดโซ่แห่งภพชาติได้ซึ่งสามารถฉุดลากเขาให้ตกลงไปสู่อบายภูมิทั้ง ๔ ได้แม้ในบางอดีตชาติอาจไปเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาด้วยอำนาจบุญ แต่ไม่นานก็ถูกฉุดรั้งให้ไปเกิดในอบายภูมิด้วยกรรมชั่วที่ทำได้ง่ายดังนั้นในคัมภีร์อรรถกถาของธรรมบทจึงกล่าวไว้ว่า ปุถุชนที่ประมาทละเลยธรรมย่อมมีอบายภูมิ๔เป้นที่อยู่อันถาวรดังข้อความว่า
"อนึ่ง ขึ้นชื่อว่าอบายภูมิ๔ของผู้ประมาทแล้ว เป็นเช่นกับเคหสถานของตน"
การเวียนว่ายตายเกิดย่อมเหมือนกับเราไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งหรือจากบ้านไปทำงานสุดท้ายเมื่อสิ้นวันก็ต้องกลับมาพักที่บ้านของตัวเองเช่นเดิม การเกิดในภพชาติก็วนเวียนไปมาเช่นนี้ เมื่อไปจุติในสวรรค์ก็กลับมาเกิดอีกไปจุติในอบายภูมิก้ต้องกลับมาอีกถึงแม้จะได้ไปจุติในพรหมโลกด้วยอำนาจแห่งฌาณ แต่เชือกของกามภูมิก็ยังฉุดดึงให้มีการเวียนว่ายในสังสารวัฏเหมือนเดิม
ท่านเปรียบเหมือนวัวที่ถูกผูกไว้กับหลักมันจะไม่สามรถเดินไปไหนไกหรือออกจากหลักได้ บางครั้งนั้นเชือกอาจจะยาวพอให้วัวเดินออกไปไกลมากๆแต่กระนั้นก็ไม่สามรารถหลุดออกจากหลักได้
ดังนั้น ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็ยังอยู่ต่อไปในทุกภพการตัดเชือกแห่งภพจึงไม่มีชาติใหม่จึงไม่มีความเกิด ความแก่ ความเจ็บความตาย
ผู้หลุดพ้นทั้งหลายต่างหลุดพ้นด้วยการรู้โดยชอบ ปฏิบัติโดยชอบ (สมฺม ทญฺญา วิมุตฺโต) หมายความว่า พระอริยบุคคลหยั่งรู้นิพพานโดยประจักษ์แล้วหลุดพ้นจากทุกข์ตามลำดับ
คือ พระโสดาบัน๑ พระสกทาคามี๑พระอนาคมี๑พระอรหันต์๑
-สุภัทรวาที
สิ้นทุกข์เมื่อบรรลุถึงที่สุดของโลก-
-สิ้นทุกข์เมื่อบรรลุถึงที่สุดของโลก-
น โข ปนาหํ อาวุโส อปฺปตฺวา โลกสฺส อนฺตํ ทุกฺขสฺส อนฺตกิริยํ วทามิ.
อปิจ ขฺวาหํ อาวุโส อิมสฺมิญฺเญว พฺยามมตฺเต กเฬวเร สสญฺญมฺหิ สมนเก โลกญฺจ ปญฺญเปมิ โลกสมุทยญฺจ โลกนิโรธญฺจ โลกนิโรธคามินิญฺจ ปฏิปทํ.(สํ.ส.๑๕.๑๐๗.๗๔,องฺ.จตุกฺก.๒๑.๔๕.๕๓)
"และเรายอมไม่กล่าวการกระทำที่สุดแห่งทุกข์ เพราะไปไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ แต่เราย่อมบัญญัติโลก เหตุเกิดของโลก ความดับของดลก และทางดำเนินไปให้ถึงควมดับความโลก ในอัตภาพอันมีประมารวาหนึ่ง มีสัญญา และมีใจนี้เท่านั้น"
การไปให้ถึงที่สุดแห่งโลก ไม่สามารถจะสำเร้จได้ด้วยการกระทำทางกายแต่บรรลุด้วยการพัฒนาปัญญา คำว่า "โลก"ตามที่พุทธองค์ทรงตรัสนั้นหมายถึง "ทุกข์"ผู้ที่ไม่พยายามใช้ปัญญาย่อมไม่สามรถบรรลุถึงความดับทุกข์ได้ เพราะทั้งโลกนี้ถูกปรุงด้วยความแปรเปลี่ยนของกระแสรูปนาม เป็นโลกแห่งความทุกข์ และที่สุดขอโลกก็คือนิพพาน
วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554
เปรียบเทียบเชนกับพุทธ
เชน(นิครนถ์นาฏบุตร)กับพุทธมีคำสอนคล้ายกันมาก บางคนเข้าใจว่าเชนเป็นนิกายหนึ่งในพระพุทธศาสนา เชนกับพุทธมีประวัติศาสตร์และคำสอนในภูมิประเทศเดียวกันเผยแผ่ในยุคเดียวกัน พระศาสดาเป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่ทางเหนือคืออุตตรประเทศ ในอินเดีย เปรียบเทียบโดยสรุป ดังนี้
๑. ตำนานเล่าว่าเชนมีอยู่ก่อนสมัยพระเวท เมื่อกว่า ๕,๐๐๐ ปี ผู้ตั้งลัทธิมี ๒๔องค์ พระพุทธศาสนาเล่าถึงพระพุทธเจ้าในอดีต ๒๔ พระองค์ ชื่อผู้ตั้งลัทธิเชนกับพระพุทธเจ้าในอดีตและพระปัจเจกพุทธเจ้า มีพ้องกันหลายชื่อ
๒. นิครนถ์นาฏบุตร(มหาวีระ) ถือกำเนิดในวรรณะกษัตริย์ กรุงเวสาลี แคว้นวัชชีก่อนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถือกำเนิดในวรรณะกษัตริย์ กรุงกบิลพัสดุ์ สักกชนบท แคว้นโกศล พระศาสดาทั้งสองมาจากระบอบปกครองแบบสาธา
รณรัฐ ผู้บวชตามปารศวนารถเรียกว่า นิครนถ์ กุมารบุตร ผู้บวชตามมหาวีระ เรียกว่า นิครนถ์ นาฏบุตร ผู้บวชตามพระพุทธเจ้า เรียกว่า สมณะ ศากยบุตร
เชนและพุทธเป็นศาสนาอไวทิกะ ไม่นับถือคัมภีร์พระเวท (non-Vedic) ไม่ถือชนชั้น ยุคแรก ๆ ไม่มีเรื่องเทวดา เป็นนาสติกะ ปฏิเสธผู้สร้างโลก N. Aiyaswami Sastri อ้างคำพูดของท่านนาคารชุน ในคัมภีร์รัตนวาลี ที่บอกว่า “A nastika is doomed to hell” นิครนถ์กับพระพุทธศาสนาจึงไม่ใช่นาสติกะ(nastika) นาสติกะตามนัยหลังหมายถึงลัทธิปฏิเสธปรโลกคือพวกจารวาก
เชนดัดแปลงคำสอนมาจากหลัก จตุยามสังวรธรรม ของปารศวนารถ เป็นลัทธิอัตตกิลมถานุโยค เชื่อว่าการเปลือยกายเป็นสัญลักษณ์ของคนไม่มีกิเลส พระพุทธศาสนามีคำสอนหลักคือ จตุราริยสัจ(อริยสัจ ๔) เป็นทางสายกลาง(มัชฌิมาปฏิปทา) พระพุทธศาสนามีปัญจศีล นิครนถ์มี ปัญจพรต ปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธเจ้าปฏิเสธกิริยวาทะของมหาวีระ
คำสอนที่ปะปนกัน ๓ ทรรศนะในยุคนั้น ได้แก่ (๑) สังสารสุทธิหรืออาหารสุทธิของอาชีวก (๒) สยาทวาท์หรือกิริยวาทะของนิครนถ์ นาฎบุตร (๓) วิภัชชวาทะหรือกรรมวาทะของพระพุทธเจ้า
๓. เชนเชื่อว่าชีวิตมีผลจากกรรมเก่าในชาติอดีต คนจะมีสุขทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ก็เพราะกรรมเก่า กายทัณฑะ(กายกรรม)สำคัญยิ่งกว่าวจีทัณฑะและมโนทัณฑะ การกระทำจะมีเจตนาหรือไม่มีเจตนาจัดเป็นกรรมทั้งสิ้น พระพุทธศาสนาสอนว่ามนุษย์เป็นทายาทแห่งกรรม การกระทำที่มีเจตนาเท่านั้นจึงจัดว่าเป็นกรรม มโนกรรมสำคัญยิ่งกว่ากายกรรมและวจีกรรม สอนเน้นปัจจุบันมากกว่าเน้นเรื่องอดีตและเรื่องอนาคต
๔. เชนเป็นศาสนาสำหรับชาวอินเดีย พุทธเป็นศาสนาสำหรับชาวโลก นิครนถ์และพระพุทธศาสนาต่างเป็นกรรมวาที เน้นการกระทำเหมือนกัน แต่มีความหมายต่างกันพระพุทธเจ้าทรงสอนว่ากรรมเป็นสิ่งเกินขีดความสามารถที่สามัญชนจะรู้ เป็นอจินไตยนอกจากกรรมที่ต่างกัน ยังมีคำที่เขียนตรงกันแต่ใช้ต่างกัน ได้แก่ วินยวาทะ อรหันต์ ญาณสัมมาทิฐิ มิจฉาทิฐิ ติสรณะ วิญญาณ อาสวะ ธรรม เป็นต้น
๕. เชนและพุทธสอนว่าอวิชชาคือรากเหง้าแห่งกรรม จุดหมายของนิครนถ์คือความหลุดพ้น(โมกษะ) ความหลุดพ้นในพระพุทธศาสนา เรียกว่านิพพานหรือวิมุตติ วิธีการปฏิบัติไปสู่ความหลุดพ้นก็แตกต่างกัน
๖. ก่อนศาสดามหาวีระ ๒๕๐ ปี (๑๗๘ ปี?) ปารศวนารถประกาศคำสอนเรียกว่าจตุยามสังวรธรรม ไม่กำหนดว่าคนที่บรรลุโมกษะจะต้องเปลือยกาย อนุญาตให้สตรีบวชเป็นนิครนถ์ได้ มหาวีระปรับเปลี่ยนจตุยามสังวรธรรมเป็นปัญจมหาพรต กำหนดว่าผู้ได้บรรลุโมกษะจะต้องเปลือยกาย นิกายดั้งเดิม(ทิคัมพร) ถือปฏิบัติเคร่งครัด ทั้งห้ามสตรีบวช ส่วนนิกายนุ่งห่มขาว(เสวตัมพร) อนุญาตให้สตรีบวชได้ มีองค์กรทางศาสนาเรียกว่า จตุวิธสงฆ์ ได้แก่ มุนี อารยิกา สาวกและสาวิกา
ในวินัยปิฎกมีเรื่องว่า สมัยพุทธกาลมีนักบวชสตรีนอกพระพุทธศาสนา เรียกว่าสมณีไม่ระบุว่าเป็นสมณีของฝ่ายใด “กินฺนุมา สมณิโย สกฺยธีตโร สนฺตญฺญาปิ สมณิโย ลชฺชนิโยกุกฺกุจฺจิกา สิกฺขกามา : มีเพียงสมณะหญิงศากยะเท่านั้นหรือ ยังมีสมณะหญิงอื่นที่มีความละอายรังเกียจบาป ใฝ่ศึกษา”
พระพุทธศาสนามีองค์กร คือ พุทธบริษัท ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกา นิกายดั้งเดิม(เถรวาท)ถือว่าชีวิตนักบวชเปิดโอกาสให้หลุดพ้นได้มากกว่าชีวิตผู้ครองเรือนนิกายมหายาน (พวกมาก) ดำเนินตามปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ เน้นที่ความกรุณา ปรับประยุกต์คำสอนจนมีชื่ออีกอย่างว่า อาจริยวาท ซึ่งหมายถึงคำสอนจากอาจารย์
๘. เชนรวบรวมคำสอนครั้งแรกที่ปาฏลีบุตร(รัฐวิหาร) รวบรวมครั้งที่ ๒ ที่วัลลภีคัมภีร์ของเชนเรียกว่าอาคม มี ๓ ระดับ ได้แก่ อังคะ(คัมภีร์ย่อยมี ๑๒ คัมภีร์) ปูรวะ (คัมภีร์ย่อยมี ๑๔ คัมภีร์) และประกีรณะ (คัมภีร์ย่อยมี ๑๖ คัมภีร์) เกิดขึ้นในการสังคายนาที่วัลลภีนิกายทิคัมพรเชื่อว่าคำสอนเดิมของมหาวีระสูญหายไปแล้ว ไม่เชื่อว่ามหาวีระเคยแต่งงาน แต่ยอมรับคัมภีร์ของนิกายเสวตัมพร
เชนมีคำสอนเป็นหมวดหมู่หลังมีพระไตรปิฎก ใช้ภาษาปรากฤต เรียกว่า อรรธมาคธี(Ardha-Magadhi or Jaina Prakrit) ที่รับอิทธิพลไปจากพระไตรปิฎก เช่น คำว่า คณิปิฎก ของนิกายเสวตัมพร ชื่อเหมือนกับติปิฏก ส่วนพุทธมีสุทธมาคธี หรือภาษาบาลีเป็นภาษาคัมภีร์
๙. ปัจจุบันในประเทศอินเดียมีผู้นับถือเชนราว ๕ ล้านคน (ไม่รวมในประเทศศรีลังกา) วันเทศกาลของเชน คือ การบูชาประทีป เรียกว่าทีปวาลี(Dipavali หรือDivali) (ในเดือนพฤศจิกายน) ตำนานเล่าว่า เมื่อชาวบ้านรู้ข่าวการสิ้นชีวิตของท่านมหาวีระที่เมืองปาวา ได้พากันจุดไฟตามประทีปสว่างไสวแสดงความอาลัยอาวรณ์
ลักษณะของคนพาล
พระพุทะเจ้าตรัสสอนภิกษุทั้งหลายว่า
“ภิกษุทั้งหลาย ลักษณะของคนพาล เครื่องหมายของคนพาล ความประพฤติไม่ขาดสายของคนพาลมี ๓ ประการ คือ คนพาลในโลกนี้ (๑) ชอบคิดแต่เรื่องชั่ว (๒) ชอบพูดแต่เรื่องชั่ว (๓) ชอบทำแต่กรรมชั่ว"
(คัมภีร์ปปัญจสูทนี มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๔๖ หน้า ๒๙๑ ฉบับมหาจุฬา)
พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่า "ชอบคิดแต่เรื่องชั่ว หมายถึงประกอบมโนทุจริต ๓ คือ (๑) อภิชฌา มีความเพ่งเล็งอยากได้ของเขา (๒) พยาบาท คิดปองร้าย (๓) มิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นผิด
ชอบพูดแต่เรื่องชั่ว หมายถึงประกอบวจีทุจริต ๔ คือ (๑) มุสาวาท พูดเท็จ (๒) ปิสุณาวาจา พูดส่อเสียด (๓) ผรุสวาจา พูดคำหยาบ (๔) สัมผัปปลาปะ พูดเพ้อเจ้อ
ชอบทำแต่กรรมชั่ว หมายถึงประกอบกายทุจริต ๓ คือ (๑) ปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ (๒) อทินนาทา ลักทรัพย์ (๓) กาเมสุมิจฉาจาร(ประพฤติผิดในกาม"
(คัมภีร์ปปัญจสูทนี มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสกอรรถกถา เล่ม ๓ ข้อ ๒๔๖ หน้า ๑๕๒ ภาษาบาลีฉบับมหาจุฬา)
การประพฤติพรหมจรรย์
พระพุทธเจ้าตรัสสอนภิกษุทั้งหลายว่า
“ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประพฤติพรหมจรรย์นี้ มิใช่เพื่อจะลวงคน มิใช่เพื่อจะเกลี้ยกล่อมคน มิใช่เพื่ออานิสงส์คือลาภสักการะและการสรรเสริญ มิใช่เพื่อให้คนรู้ว่า คนจงรู้จักเราด้วยอาการอย่างนี้ ความจริง ภิกษุประพฤติพรหมจรรย์นี้ก็เพื่อสังวร และเพื่อปหานะเท่านั้น”
(คัมภีร์ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ เล่ม ๒๕ หน้า ๓๘๒ ฉบับมหาจุฬา)
พระอรรถกถาจารยอธิบายว่า "สังวร การสำรวม มี ๕ อย่าง คือ (๑) ปาติโมกขสังวร สำรวมในปาติโมกข์ (๒) สติสังวร สำรวมด้วยสติ (๓) ญาณสังวร สำรวมด้วยญาณ (๔) ขันติสังวร สำรวมด้วยขันติ) (๕) วิริยสังวร สำรวม
ด้วยความเพียร
ปหานะ การละมี ๕ อย่าง คือ (๑) ตทังคปหานะ ละกิเลสด้วยองค์นั้นๆ (๒) วิกขัมภนปหานะ ละกิเลสด้วยการข่มไว้ (๓) สมุจเฉทปหานะ ละกิเลสด้วยตัดขาด (๔) ปฏิปัสสัทธิปหานะ ละกิเลส ด้วยสงบระงับ (๕) นิสสรณปหานะ ละกิเลสด้วยสลัดออกได้
(ขุททกนิกายอิติวุตตกอรรถกถา ข้อ ๓๕ หน้า ๑๒๖ ฉบับบาลี)
โทษของโภคทรัพย์
"ภิกษุทั้งหลายโภคทรัพย์มีโทษ ๕ ประการนี้ คือ
๑. โภคทรัพย์เป็นสิ่งทั่วไปแก่ไฟ
๒. โภคทรัพย์เป็นสิ่งทั่วไปแก่น้ำ
๓. โภคทรัพย์เป็นสิ่งทั่วไปแก่พระราชา
๔. โภคทรัพย์เป็นสิ่งทั่วไปแก่โจร
๕.โภคทรัพย์เป็นสิ่งทั่วไปแก่ทายาทผู้ไม่เป็นที่รัก"
(อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต เล่ม ๒๒ หน้า ๓๖๘๓๖๙ ฉบับมหาจุฬา)
ตบะของศาสดามหาวีระ
นิครนถนาฏบุตร (ศาสดามหาวีระแห่งศาสนาเชน) สอนสาวกทั้งหลายว่า “นิครนถ์ทั้งหลายผู้เจริญ บาปกรรมที่พวกท่านทำแล้วในกาลก่อนมีอยู่ พวกท่านจงสลัดบาปกรรมนั้นด้วยปฏิปทาที่ทำได้ยากอันเผ็ดร้อนนี้ ข้อที่ท่านทั้งหลายสำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจ ในกาลบัดนี้นั้น เป็นการไม่กระทำบาปกรรมต่อไป เพราะกรรมเก่าสิ้นสุดไปเพราะตบะ (คือการบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก) เพราะไม่ทำกรรมใหม่ จึงไม่ตกอยู่ใต้อำนาจ(แห่งกรรม)ต่อไป เพราะไม่เป็นไปตามอำนาจแห่งกรรมต่อไป กรรมจึงสิ้นไป เพราะกรรมสิ้นไป ทุกข์จึงสิ้นไป เพราะทุกข์สิ้นไป เวทนาจึงสิ้นไป เพราะเวทนาสิ้นไป ทุกข์ทั้งปวงจึงจักเป็นอันสลายไป”
(คัมภีร์มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑๒ หน้า ๑๘๒ ฉบับมหาจุฬา)
ทำความเพียรเพื่ออะไร
พระพุทธเจ้าทรงแสดงการทำความเพียรแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
“ภิกษุทั้งหลาย บุคคลควรทำความเพียรด้วยฐานะ ๓ ประการ คือ
๑. เพื่อความไม่เกิดขึ้นแห่งบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น
๒. เพื่อความเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น
๓. เพื่อความอดกลั้นเวทนาทั้งหลาย อันมีในร่างกายที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นทุกข์ กล้าแข็ง เจ็บปวด เผ็ดร้อน ไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจ พรากชีวิต
บุคคลควรทำความเพียรด้วยฐานะ ๓ ประการนี้
ภิกษุทั้งหลาย ในกาลใด ภิกษุทำความเพียรเพื่อความไม่เกิดขึ้นแห่งบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น เพื่อความเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น เพื่อความอดกลั้นเวทนาทั้งหลายอันมีในร่างกายที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นทุกข์ กล้าแข็ง เจ็บปวด เผ็ดร้อน ไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจ พรากชีวิต ในกาลนั้น ภิกษุนี้เราเรียกว่า มีความเพียร มีปัญญารักษาตน มีสติเพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ"
(อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๒๐ หน้า ๒๑๑ ฉบับมหาจุฬา)
พาหิยสูตร
พระพุทธเจ้าตรัสสอนพาหิยะขณะเสด็จบิณฑบาตสรุปความว่า “ดูก่อนพาหิยะ เมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟัง เมื่อรับรู้อารมณ์ที่ได้รับรู้ก็สักแต่ว่ารับรู้ เมื่อรู้แจ้งธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งก็สักแต่ว่ารู้แจ้ง ดูก่อนพาหิยะ เมื่อเธอเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น ฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟัง รับรู้อารมณ์ที่ได้รับรู้ก็สักแต่ว่ารับรู้ เมื่อรู้แจ้งธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งก็สักแต่ว่ารู้แจ้ง เธอก็จะไม่มี เมื่อเธอไม่มี เธอก็จะไม่ยึดติดในสิ่งนั้น เมื่อเธอไม่ยึดติดในสิ่งนั้น เธอจักไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกอื่น ไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้เป็นที่สุดแห่งทุกข์”
ด้วยฟังพระธรรมเทศนาย่อของพระพุทธเจ้า จิตของพาหิยะทารุจีริยะจึงหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
(สรุปความจากพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๒๕ หน้า ๑๘๖ ฉบับมหาจุฬา)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)