วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ปีใหม่นี้เริ่มต้นอย่างไรให้รุ่งโรจน์
ปีใหม่นี้เริ่มต้นอย่างไรให้รุ่งโรจน์
-สวัสดีปีใหม่
ก่อนอื่นขอกล่าวคำว่าสวัสดีปีใหม่มายังทุกท่าน วันนี้เป็นวันสิ้นปีและเป็นวันที่ประชาชนทั่วไปเริ่มการฉลองปีใหม่มีความสุขกันและทำกันทั่วโลก ถือว่าเป็นวันปีใหม่ร่วมกับคนทั้งโลก เราเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความสุขด้วยการทำความดีท่านถือว่าเป็นบุพพนิมิตตั้งต้นไว้ดีแล้ว เวลาผ่านมาครบ๑ปีนี้ถือว่าเป็นเวลาที่มากเหมือนกัน เราก็ได้นับ๑เริ่มต้นปีใหม่ หลายคนหลายท่านก็ใช้เวลานี้เป็นช่วงที่สำรวจตัวเองเพื่อที่จะปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่าง
ครบรอบปีใหม่แต่ละครั้งเราพากันมีความสนุกสานเราคิดสังสรรค์ใช้เวลาปีใหม่ในการหาความสุขแต่เราก็อย่าลืมว่าก็ยังมีคนอื่นที่มีความทุกข์อยู่ก็มี
เราอย่าพากันสนุกสนานมากไปทำให้อยู่ในความพอดีถูกต้อง พอเรามามองในทางธรรมะท่านก็จะเตือนเราว่า เวลาผ่านไปย่อมจะกลืนกินเรา ท่านก็สอนเราให้รู้จักใช้เวลาไม่ให้ผ่านไปเปล่าประโยชน์เวลาผ่านไปอย่าห่านไปเปล่าไม่ได้มากก็ได้น้อยแต่ให้ได้สักอย่างก็ดี
พูดถึงคำว่าได้มากได้น้อยคนก็คิดไม่เหมือนกัน บางคนก็อาจจะบอกว่า ได้เงิน ได้เรียน ได้ทำงาน แต่อยากได้ประโยชน์จริงๆเราต้องพิจารณาทุกๆวันถามตัวเองว่าเราทำประโยชน์อะไรถ้าไม่ได้อะไรจริงๆก็เอาก่อนนอนถึงวันนี้ไม่ได้อะไรแต่ถ้าใจสงบได้ก่อนนอนก็ถือว่าคุ้ม ได้ๆเล็กๆน้อยๆก็ถือว่าคุ้มเพราะกว่าจะ๑ปีก็มากโขทีเดียว เพราะพุทธเจ้านี้สอนสาวกให้รักษาเวลาอยู่ทุกขณะ ขโณ โว มา อุปจจคา
จะปฏิบัติอย่างไรก็ตามเกี่ยวกับหลักเวลาที่ว่าใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ก็พูดถึงหลักความไม่ประมาทนั่นเอง ถ้าเราระลึกได้อยู่ว่าอะไรคือหน้าที่ อะไรคือกิจที่ต้องทำเราก็จะได้ประโยชน์จากการงานของเรา พระพุทธเจ้ารับรองว่าคนมีสติไม่เสื่อมมีแต่เจริญ แต่ถ้าไม่มีสิตมีความประมาทก็จะทำให้เฉื่อย เหนื่อย เรื่อยเปื่อย บางคนประสบความสำเร็จแล้วก็หลงระเริงพอเจอพิษของอนิจจังเสื่อมเป็นทุกข์ นี้เป็นเรื่องของความไม่ประมาทกับสติเพราะพุทธเจ้าท่านย้ำตลอด
ปีใหม่นี้ก็ทำกิจด้วยความไม่ประมาทใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท เราจะปฏิบัติอย่างไรความใหม่นี้เป็นเรื่องทีดีเพราะคนชอบ เจออะไรที่ใหม่ๆเราก็สุขสดชื่น
ปีใหม่นี้เริ่มต้นอย่างไรให้รุ่งโรจน์
ปีใหม่นี้รอเราอยู่๓๖๕กว่าวัน เราจะต้องสร้างพลังขึ้นในใจถ้าใจมีพลังแล้วทำอะไรสำเร็จได้คำว่าใจมีพลังคือเป็นอิสระหมายความว่าอย่างไร ยกตัวอย่างช้างนี้เป็นสัตว์มีกำลังแต่ถ้ามันถูกตรึงไว้มันก็ไปไหนไม่ได้ ชีวิตเราก็ต้องทำให้ใจมีพลังใจมีพลังคือไม่มีกิเลสทำให้เศร้าหมองอย่างพระสงฆ์เรานี้ถ้าใจไม่มีพลังก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้ เราจะเข้าสู่ปีใหม่แล้วเราจะทำอย่างไรต้องเตรียมใจให้ดีไม่ใช่ท้อตั้งแต่ต้น
เริ่มต้นปีใหม่นอกจากสุข สด ชื่น ต้องให้ได้ปัญญามาด้วย เหมือนบางคนบอกว่าเตือนตัวเองทุกปีว่าปีใหม่ จะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ สุดท้ายเราก็ยังเป็นเหมือนเดิมทุกปี เพราะใจเราไม่มีพลังไม่มีวิริยะพะละเพราะอันนี้ก็สำคัญเพราะมีปัญญาแล้วแต่ขี้เกียจนี้ก็เสื่อมไม่พัฒนา
พลังทั้ง๕
๑.ปัญญาพะละ
๒.วิริยะพะละ คนมีความเพียรนี้เป็นคนที่มีพลังมากอย่างเรื่องในชาดกนกกระจาบจะวิดน้ำในมหาสมุทรเพื่อตามหาลูกที่ตกลงไปในน้ำนกกระจาบตัวเล็กๆแต่มีความเพียรที่จะวิดน้ำในมหาสมุทรให้แห้งจร้อนถึงพระอินทร์
๓.อนวัชชะพะละ ความสุจริตอันนี้เป็นตัวสำคัญความสุจริตเป็นกำลังมือสะอาดนั่นเองถ้าเรามีความสุจริตก็ไม่หวั่นไหวใครจะว่ามั่นใจ ทำงานได้เต็มที่ ต้องเตรียมตัวไว้แต่ต้นเลย
๔.สังคหพลัง การช่วยเหลือกันการทำประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่นเรียกว่าการสงเคาระห์นั่นเอง
ได้๔ข้อนี้ถือว่าปีใหม่นี้เรามีพลังที่พร้อมจะเดินหน้าแล้วจะอย่างไรก็ตามไม่ว่าปีใหม่หรือวันพรุ่งนี้ก็มีค่าเท่ากันเพราะจริงๆแล้วเวลามันเปลี่ยนตลอด มันก็เป็นเรื่องท้าท้ายเหมือนกันเพราะเราไม่รู้
ว่าวันข้างหน้าจะมีอะไรอะไรจะเกิดขึ้นแม้แต่การเดินก็ต้องใช้กำลังแต่เราต้องมีปัญญานะใช้ปัญญาคิดว่าเดินอย่างไรไม่ให้เหนื่อย ตกหลุมแล้วจะทำอย่างไรเพราะเราก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแต่นั่นเราต้องมีความสามรถที่จะต้องรับมือ บ้านเมืองเราก็เหมือนกันเราก็ประมาทไม่ได้จะบริหารอย่างไรให้ประสบความสำเร็จก็อาศัยพลังทั้ง๔นี้คือปัญญา วิริยะ อนวัชชะ(สุจริต) สังคหะ(ประโยชน์ประชาชน)
เราจะอยู่อย่างไรให้เป็นสุขเราก็ต้องตั้งใจดีต่อกันคนในประเทศนี้ก็ต้องตั้งใจในความปรารถนาไว้ให้ดีต่อกัน คนในโลกนี้จะอยู่อย่างมีความสุขทั้งปีใหม่และตลอดไปก็คือปรารถนาดีต่อกันไม่จองเวรกันทั้งอาฆาตพยาบาทเบียดกัน ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิตรักษาตนด้วยการไม่เบียดเบียนตนเอง(อบายมุข)รักษาผู้อื่นด้วยการไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน(เบญจธรรม)
ปีใหม่นี้ขอให้ทุกท่านมีความสุขตลอดไปขออ้างเอาคุณพระรัตนตรัยอันเป็นสรณะที่พึ่งของพุทธศาสนิกชนจงช่วยปกป้องคุ้มครองทุกท่านให้เป็นผู้มีความสุขความเจริญปรารถนาสิ่งใดอันเป็นด้วยชอบประกอบด้วยธรรมขอความปรารถนานั้นจงสำเร็จดุจพระจันทร์วันเพ็ญ สาธุ
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554
-ความยึดมั่น
-ความยึดมั่น
เรื่องยึดติดถือมั่นมีเรื่องที่ต้องพิจารณาต้องบอกว่าเรื่องความไม่ยึดมั่นนั้นเกิดจากความรู้ความเข้าใจที่เรียกว่า"ปัญญา"ซึ่งทางพระพุทธศาสนาเรียกว่าการรู้เห็นความจริง(ของสิ่งนั้นๆ)เมื่อรู้ความจริงแล้วก็จะไม่ต้องเข้าไปยึดเพราะรู้ความจริงแล้วจิตจะถูกเรียกว่าเป็นอิสระคำว่าอิสระนี้จิตไม่ได้เป้นอิสระได้เองจิตจะเป็นอิสระได้ด้วยปัญญาถ้ายังไม่พิจารณาก็จะไม่มีทางเห็นหรือพิจารณาแล้วแต่ไม่ตัดก็ยังจะยึดติดอยู่อย่างนั้น
สมมุติขอยกตัวอย่างมีคนเอาทองมาเเราก็อยากได้ทองบอกว่าผมขายทองนะจริงๆนะทองราคาสูงแต่ว่าผมขายให้บาทละ๒,๐๐๐ เอาไหมเราก็เกิดความอยากได้ขึ้นมาแล้วเราก็เกิดความอยากยึดแล้วทีนี้พอเกิดปัญญารู้ด้วยอะไรก็แล้วแต่จิตก็หลุดเองเลยทีนี้มันปล่อยเองเลย เกิดวันใดวันหนึ่งเรารู้สภาวะธรรมเรารู้โดยชัดเจนจิตมันหลุดเองไม่ต้องไปปลดเปลื้องมันหรอก นี้แหละที่เรียกว่าการไม่ยึดมั่นถือมั่นคือต้องอาศัยการรู้จริง
ด้วยปัญญา
อย่างเรามีความอยากเรื่องของมนุษย์ดลกเราก็เห็นด้วยเหตุผลของแต่จิตของเราก็ยังยึดเช่นท่านว่ามันไม่เที่ยงนะ มันเป้นทุกข์นะเราก็เห้นด้วยท่าน็พูดจริงนะแต่สภาวะจิต(ปัญญา)ของเรายังไม่เห็นไม่ถึงขั้นนั้นเราสวดมนต์ๆสังขารเป้นทุกข์ รูปไม่เที่ยงๆเราก็ว่าไปแต่ทีจริงจิตยังยึดมั่นอยู่ ทีนี้ก้มีคนบางพวกเอาละนะทีนี้ฉันจะไม่ยึดมั่นฉันจะปฏิบัติตอนนี้การไม่ยึดมั่นก็เลยเป็นการยึด
มั่นในการปฏิบัติของเรา
ในความไม่ยึดมั่นมันก็จะเกิดคำพูดที่ว่าโอ้ยอันนี้ไม่ใช่บ้านเราไม่ใช่สมบัติของเราเป็นยังไง อันนี้ไม่ใช่ลูกเมียเราเพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องไปใส่ใจหรอกปล่อยๆไปตกลงมันก็เสียหายไป การทำเราก็ต้องทำด้วยเหตุผลทำด้วยปัญญา
สรุปแล้วก็คือสำหรับปุถุชนอย่างเราที่เห็นว่าความยึดมั่นไม่ดีเราก็ปฏิบัติตามหลักนั้นตามเหตุปัจจัยที่มันเป็น มันไม่ได้เป็นไปตามใจอยากของเรา เราไปยึดมันก็เป็นทุกข์มันบีบคั้นใจเรา มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยมันมีสภาวะของมัน เราปุถุชนทำได้อย่างนี้ก็คือการรู้ตามเป็นจริงทำได้อย่างนี้ก็ดี เราต้องพิจารณาอย่างสม่ำเสมอว่าเราจะต้องฝึกตนอยู่เสมอตระหนักในการฝึกตนเพื่อการทำที่สุดแห่งความทุกข์
วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554
-เชือกผูกภพ-
-เชือกผูกภพ-
คำว่า"สังโยชน์" เป็นโซ่ตรวนที่ผูกโยงมนุษย์ไว้กับกิเลสที่ทำให้ติดข้องอยู่ในวัฏสงสารอันยาวนานแต่พระอรหันต์ได้ตัดโซ่ตรวนแห่งสังโยชน์หมดแล้วจึงเป็นอิสระจากภพ เพราะไม่ต้องมาเกิดอีก คนที่ละเลยธรรมะจะไม่สามารถตัดโซ่แห่งภพชาติได้ซึ่งสามารถฉุดลากเขาให้ตกลงไปสู่อบายภูมิทั้ง ๔ ได้แม้ในบางอดีตชาติอาจไปเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาด้วยอำนาจบุญ แต่ไม่นานก็ถูกฉุดรั้งให้ไปเกิดในอบายภูมิด้วยกรรมชั่วที่ทำได้ง่ายดังนั้นในคัมภีร์อรรถกถาของธรรมบทจึงกล่าวไว้ว่า ปุถุชนที่ประมาทละเลยธรรมย่อมมีอบายภูมิ๔เป้นที่อยู่อันถาวรดังข้อความว่า
"อนึ่ง ขึ้นชื่อว่าอบายภูมิ๔ของผู้ประมาทแล้ว เป็นเช่นกับเคหสถานของตน"
การเวียนว่ายตายเกิดย่อมเหมือนกับเราไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งหรือจากบ้านไปทำงานสุดท้ายเมื่อสิ้นวันก็ต้องกลับมาพักที่บ้านของตัวเองเช่นเดิม การเกิดในภพชาติก็วนเวียนไปมาเช่นนี้ เมื่อไปจุติในสวรรค์ก็กลับมาเกิดอีกไปจุติในอบายภูมิก้ต้องกลับมาอีกถึงแม้จะได้ไปจุติในพรหมโลกด้วยอำนาจแห่งฌาณ แต่เชือกของกามภูมิก็ยังฉุดดึงให้มีการเวียนว่ายในสังสารวัฏเหมือนเดิม
ท่านเปรียบเหมือนวัวที่ถูกผูกไว้กับหลักมันจะไม่สามรถเดินไปไหนไกหรือออกจากหลักได้ บางครั้งนั้นเชือกอาจจะยาวพอให้วัวเดินออกไปไกลมากๆแต่กระนั้นก็ไม่สามรารถหลุดออกจากหลักได้
ดังนั้น ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็ยังอยู่ต่อไปในทุกภพการตัดเชือกแห่งภพจึงไม่มีชาติใหม่จึงไม่มีความเกิด ความแก่ ความเจ็บความตาย
ผู้หลุดพ้นทั้งหลายต่างหลุดพ้นด้วยการรู้โดยชอบ ปฏิบัติโดยชอบ (สมฺม ทญฺญา วิมุตฺโต) หมายความว่า พระอริยบุคคลหยั่งรู้นิพพานโดยประจักษ์แล้วหลุดพ้นจากทุกข์ตามลำดับ
คือ พระโสดาบัน๑ พระสกทาคามี๑พระอนาคมี๑พระอรหันต์๑
-สุภัทรวาที
สิ้นทุกข์เมื่อบรรลุถึงที่สุดของโลก-
-สิ้นทุกข์เมื่อบรรลุถึงที่สุดของโลก-
น โข ปนาหํ อาวุโส อปฺปตฺวา โลกสฺส อนฺตํ ทุกฺขสฺส อนฺตกิริยํ วทามิ.
อปิจ ขฺวาหํ อาวุโส อิมสฺมิญฺเญว พฺยามมตฺเต กเฬวเร สสญฺญมฺหิ สมนเก โลกญฺจ ปญฺญเปมิ โลกสมุทยญฺจ โลกนิโรธญฺจ โลกนิโรธคามินิญฺจ ปฏิปทํ.(สํ.ส.๑๕.๑๐๗.๗๔,องฺ.จตุกฺก.๒๑.๔๕.๕๓)
"และเรายอมไม่กล่าวการกระทำที่สุดแห่งทุกข์ เพราะไปไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ แต่เราย่อมบัญญัติโลก เหตุเกิดของโลก ความดับของดลก และทางดำเนินไปให้ถึงควมดับความโลก ในอัตภาพอันมีประมารวาหนึ่ง มีสัญญา และมีใจนี้เท่านั้น"
การไปให้ถึงที่สุดแห่งโลก ไม่สามารถจะสำเร้จได้ด้วยการกระทำทางกายแต่บรรลุด้วยการพัฒนาปัญญา คำว่า "โลก"ตามที่พุทธองค์ทรงตรัสนั้นหมายถึง "ทุกข์"ผู้ที่ไม่พยายามใช้ปัญญาย่อมไม่สามรถบรรลุถึงความดับทุกข์ได้ เพราะทั้งโลกนี้ถูกปรุงด้วยความแปรเปลี่ยนของกระแสรูปนาม เป็นโลกแห่งความทุกข์ และที่สุดขอโลกก็คือนิพพาน
วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554
เปรียบเทียบเชนกับพุทธ
เชน(นิครนถ์นาฏบุตร)กับพุทธมีคำสอนคล้ายกันมาก บางคนเข้าใจว่าเชนเป็นนิกายหนึ่งในพระพุทธศาสนา เชนกับพุทธมีประวัติศาสตร์และคำสอนในภูมิประเทศเดียวกันเผยแผ่ในยุคเดียวกัน พระศาสดาเป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่ทางเหนือคืออุตตรประเทศ ในอินเดีย เปรียบเทียบโดยสรุป ดังนี้
๑. ตำนานเล่าว่าเชนมีอยู่ก่อนสมัยพระเวท เมื่อกว่า ๕,๐๐๐ ปี ผู้ตั้งลัทธิมี ๒๔องค์ พระพุทธศาสนาเล่าถึงพระพุทธเจ้าในอดีต ๒๔ พระองค์ ชื่อผู้ตั้งลัทธิเชนกับพระพุทธเจ้าในอดีตและพระปัจเจกพุทธเจ้า มีพ้องกันหลายชื่อ
๒. นิครนถ์นาฏบุตร(มหาวีระ) ถือกำเนิดในวรรณะกษัตริย์ กรุงเวสาลี แคว้นวัชชีก่อนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถือกำเนิดในวรรณะกษัตริย์ กรุงกบิลพัสดุ์ สักกชนบท แคว้นโกศล พระศาสดาทั้งสองมาจากระบอบปกครองแบบสาธา
รณรัฐ ผู้บวชตามปารศวนารถเรียกว่า นิครนถ์ กุมารบุตร ผู้บวชตามมหาวีระ เรียกว่า นิครนถ์ นาฏบุตร ผู้บวชตามพระพุทธเจ้า เรียกว่า สมณะ ศากยบุตร
เชนและพุทธเป็นศาสนาอไวทิกะ ไม่นับถือคัมภีร์พระเวท (non-Vedic) ไม่ถือชนชั้น ยุคแรก ๆ ไม่มีเรื่องเทวดา เป็นนาสติกะ ปฏิเสธผู้สร้างโลก N. Aiyaswami Sastri อ้างคำพูดของท่านนาคารชุน ในคัมภีร์รัตนวาลี ที่บอกว่า “A nastika is doomed to hell” นิครนถ์กับพระพุทธศาสนาจึงไม่ใช่นาสติกะ(nastika) นาสติกะตามนัยหลังหมายถึงลัทธิปฏิเสธปรโลกคือพวกจารวาก
เชนดัดแปลงคำสอนมาจากหลัก จตุยามสังวรธรรม ของปารศวนารถ เป็นลัทธิอัตตกิลมถานุโยค เชื่อว่าการเปลือยกายเป็นสัญลักษณ์ของคนไม่มีกิเลส พระพุทธศาสนามีคำสอนหลักคือ จตุราริยสัจ(อริยสัจ ๔) เป็นทางสายกลาง(มัชฌิมาปฏิปทา) พระพุทธศาสนามีปัญจศีล นิครนถ์มี ปัญจพรต ปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธเจ้าปฏิเสธกิริยวาทะของมหาวีระ
คำสอนที่ปะปนกัน ๓ ทรรศนะในยุคนั้น ได้แก่ (๑) สังสารสุทธิหรืออาหารสุทธิของอาชีวก (๒) สยาทวาท์หรือกิริยวาทะของนิครนถ์ นาฎบุตร (๓) วิภัชชวาทะหรือกรรมวาทะของพระพุทธเจ้า
๓. เชนเชื่อว่าชีวิตมีผลจากกรรมเก่าในชาติอดีต คนจะมีสุขทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ก็เพราะกรรมเก่า กายทัณฑะ(กายกรรม)สำคัญยิ่งกว่าวจีทัณฑะและมโนทัณฑะ การกระทำจะมีเจตนาหรือไม่มีเจตนาจัดเป็นกรรมทั้งสิ้น พระพุทธศาสนาสอนว่ามนุษย์เป็นทายาทแห่งกรรม การกระทำที่มีเจตนาเท่านั้นจึงจัดว่าเป็นกรรม มโนกรรมสำคัญยิ่งกว่ากายกรรมและวจีกรรม สอนเน้นปัจจุบันมากกว่าเน้นเรื่องอดีตและเรื่องอนาคต
๔. เชนเป็นศาสนาสำหรับชาวอินเดีย พุทธเป็นศาสนาสำหรับชาวโลก นิครนถ์และพระพุทธศาสนาต่างเป็นกรรมวาที เน้นการกระทำเหมือนกัน แต่มีความหมายต่างกันพระพุทธเจ้าทรงสอนว่ากรรมเป็นสิ่งเกินขีดความสามารถที่สามัญชนจะรู้ เป็นอจินไตยนอกจากกรรมที่ต่างกัน ยังมีคำที่เขียนตรงกันแต่ใช้ต่างกัน ได้แก่ วินยวาทะ อรหันต์ ญาณสัมมาทิฐิ มิจฉาทิฐิ ติสรณะ วิญญาณ อาสวะ ธรรม เป็นต้น
๕. เชนและพุทธสอนว่าอวิชชาคือรากเหง้าแห่งกรรม จุดหมายของนิครนถ์คือความหลุดพ้น(โมกษะ) ความหลุดพ้นในพระพุทธศาสนา เรียกว่านิพพานหรือวิมุตติ วิธีการปฏิบัติไปสู่ความหลุดพ้นก็แตกต่างกัน
๖. ก่อนศาสดามหาวีระ ๒๕๐ ปี (๑๗๘ ปี?) ปารศวนารถประกาศคำสอนเรียกว่าจตุยามสังวรธรรม ไม่กำหนดว่าคนที่บรรลุโมกษะจะต้องเปลือยกาย อนุญาตให้สตรีบวชเป็นนิครนถ์ได้ มหาวีระปรับเปลี่ยนจตุยามสังวรธรรมเป็นปัญจมหาพรต กำหนดว่าผู้ได้บรรลุโมกษะจะต้องเปลือยกาย นิกายดั้งเดิม(ทิคัมพร) ถือปฏิบัติเคร่งครัด ทั้งห้ามสตรีบวช ส่วนนิกายนุ่งห่มขาว(เสวตัมพร) อนุญาตให้สตรีบวชได้ มีองค์กรทางศาสนาเรียกว่า จตุวิธสงฆ์ ได้แก่ มุนี อารยิกา สาวกและสาวิกา
ในวินัยปิฎกมีเรื่องว่า สมัยพุทธกาลมีนักบวชสตรีนอกพระพุทธศาสนา เรียกว่าสมณีไม่ระบุว่าเป็นสมณีของฝ่ายใด “กินฺนุมา สมณิโย สกฺยธีตโร สนฺตญฺญาปิ สมณิโย ลชฺชนิโยกุกฺกุจฺจิกา สิกฺขกามา : มีเพียงสมณะหญิงศากยะเท่านั้นหรือ ยังมีสมณะหญิงอื่นที่มีความละอายรังเกียจบาป ใฝ่ศึกษา”
พระพุทธศาสนามีองค์กร คือ พุทธบริษัท ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกา นิกายดั้งเดิม(เถรวาท)ถือว่าชีวิตนักบวชเปิดโอกาสให้หลุดพ้นได้มากกว่าชีวิตผู้ครองเรือนนิกายมหายาน (พวกมาก) ดำเนินตามปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ เน้นที่ความกรุณา ปรับประยุกต์คำสอนจนมีชื่ออีกอย่างว่า อาจริยวาท ซึ่งหมายถึงคำสอนจากอาจารย์
๘. เชนรวบรวมคำสอนครั้งแรกที่ปาฏลีบุตร(รัฐวิหาร) รวบรวมครั้งที่ ๒ ที่วัลลภีคัมภีร์ของเชนเรียกว่าอาคม มี ๓ ระดับ ได้แก่ อังคะ(คัมภีร์ย่อยมี ๑๒ คัมภีร์) ปูรวะ (คัมภีร์ย่อยมี ๑๔ คัมภีร์) และประกีรณะ (คัมภีร์ย่อยมี ๑๖ คัมภีร์) เกิดขึ้นในการสังคายนาที่วัลลภีนิกายทิคัมพรเชื่อว่าคำสอนเดิมของมหาวีระสูญหายไปแล้ว ไม่เชื่อว่ามหาวีระเคยแต่งงาน แต่ยอมรับคัมภีร์ของนิกายเสวตัมพร
เชนมีคำสอนเป็นหมวดหมู่หลังมีพระไตรปิฎก ใช้ภาษาปรากฤต เรียกว่า อรรธมาคธี(Ardha-Magadhi or Jaina Prakrit) ที่รับอิทธิพลไปจากพระไตรปิฎก เช่น คำว่า คณิปิฎก ของนิกายเสวตัมพร ชื่อเหมือนกับติปิฏก ส่วนพุทธมีสุทธมาคธี หรือภาษาบาลีเป็นภาษาคัมภีร์
๙. ปัจจุบันในประเทศอินเดียมีผู้นับถือเชนราว ๕ ล้านคน (ไม่รวมในประเทศศรีลังกา) วันเทศกาลของเชน คือ การบูชาประทีป เรียกว่าทีปวาลี(Dipavali หรือDivali) (ในเดือนพฤศจิกายน) ตำนานเล่าว่า เมื่อชาวบ้านรู้ข่าวการสิ้นชีวิตของท่านมหาวีระที่เมืองปาวา ได้พากันจุดไฟตามประทีปสว่างไสวแสดงความอาลัยอาวรณ์
ลักษณะของคนพาล
พระพุทะเจ้าตรัสสอนภิกษุทั้งหลายว่า
“ภิกษุทั้งหลาย ลักษณะของคนพาล เครื่องหมายของคนพาล ความประพฤติไม่ขาดสายของคนพาลมี ๓ ประการ คือ คนพาลในโลกนี้ (๑) ชอบคิดแต่เรื่องชั่ว (๒) ชอบพูดแต่เรื่องชั่ว (๓) ชอบทำแต่กรรมชั่ว"
(คัมภีร์ปปัญจสูทนี มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๔๖ หน้า ๒๙๑ ฉบับมหาจุฬา)
พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่า "ชอบคิดแต่เรื่องชั่ว หมายถึงประกอบมโนทุจริต ๓ คือ (๑) อภิชฌา มีความเพ่งเล็งอยากได้ของเขา (๒) พยาบาท คิดปองร้าย (๓) มิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นผิด
ชอบพูดแต่เรื่องชั่ว หมายถึงประกอบวจีทุจริต ๔ คือ (๑) มุสาวาท พูดเท็จ (๒) ปิสุณาวาจา พูดส่อเสียด (๓) ผรุสวาจา พูดคำหยาบ (๔) สัมผัปปลาปะ พูดเพ้อเจ้อ
ชอบทำแต่กรรมชั่ว หมายถึงประกอบกายทุจริต ๓ คือ (๑) ปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ (๒) อทินนาทา ลักทรัพย์ (๓) กาเมสุมิจฉาจาร(ประพฤติผิดในกาม"
(คัมภีร์ปปัญจสูทนี มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสกอรรถกถา เล่ม ๓ ข้อ ๒๔๖ หน้า ๑๕๒ ภาษาบาลีฉบับมหาจุฬา)
การประพฤติพรหมจรรย์
พระพุทธเจ้าตรัสสอนภิกษุทั้งหลายว่า
“ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประพฤติพรหมจรรย์นี้ มิใช่เพื่อจะลวงคน มิใช่เพื่อจะเกลี้ยกล่อมคน มิใช่เพื่ออานิสงส์คือลาภสักการะและการสรรเสริญ มิใช่เพื่อให้คนรู้ว่า คนจงรู้จักเราด้วยอาการอย่างนี้ ความจริง ภิกษุประพฤติพรหมจรรย์นี้ก็เพื่อสังวร และเพื่อปหานะเท่านั้น”
(คัมภีร์ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ เล่ม ๒๕ หน้า ๓๘๒ ฉบับมหาจุฬา)
พระอรรถกถาจารยอธิบายว่า "สังวร การสำรวม มี ๕ อย่าง คือ (๑) ปาติโมกขสังวร สำรวมในปาติโมกข์ (๒) สติสังวร สำรวมด้วยสติ (๓) ญาณสังวร สำรวมด้วยญาณ (๔) ขันติสังวร สำรวมด้วยขันติ) (๕) วิริยสังวร สำรวม
ด้วยความเพียร
ปหานะ การละมี ๕ อย่าง คือ (๑) ตทังคปหานะ ละกิเลสด้วยองค์นั้นๆ (๒) วิกขัมภนปหานะ ละกิเลสด้วยการข่มไว้ (๓) สมุจเฉทปหานะ ละกิเลสด้วยตัดขาด (๔) ปฏิปัสสัทธิปหานะ ละกิเลส ด้วยสงบระงับ (๕) นิสสรณปหานะ ละกิเลสด้วยสลัดออกได้
(ขุททกนิกายอิติวุตตกอรรถกถา ข้อ ๓๕ หน้า ๑๒๖ ฉบับบาลี)
โทษของโภคทรัพย์
"ภิกษุทั้งหลายโภคทรัพย์มีโทษ ๕ ประการนี้ คือ
๑. โภคทรัพย์เป็นสิ่งทั่วไปแก่ไฟ
๒. โภคทรัพย์เป็นสิ่งทั่วไปแก่น้ำ
๓. โภคทรัพย์เป็นสิ่งทั่วไปแก่พระราชา
๔. โภคทรัพย์เป็นสิ่งทั่วไปแก่โจร
๕.โภคทรัพย์เป็นสิ่งทั่วไปแก่ทายาทผู้ไม่เป็นที่รัก"
(อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต เล่ม ๒๒ หน้า ๓๖๘๓๖๙ ฉบับมหาจุฬา)
ตบะของศาสดามหาวีระ
นิครนถนาฏบุตร (ศาสดามหาวีระแห่งศาสนาเชน) สอนสาวกทั้งหลายว่า “นิครนถ์ทั้งหลายผู้เจริญ บาปกรรมที่พวกท่านทำแล้วในกาลก่อนมีอยู่ พวกท่านจงสลัดบาปกรรมนั้นด้วยปฏิปทาที่ทำได้ยากอันเผ็ดร้อนนี้ ข้อที่ท่านทั้งหลายสำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจ ในกาลบัดนี้นั้น เป็นการไม่กระทำบาปกรรมต่อไป เพราะกรรมเก่าสิ้นสุดไปเพราะตบะ (คือการบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก) เพราะไม่ทำกรรมใหม่ จึงไม่ตกอยู่ใต้อำนาจ(แห่งกรรม)ต่อไป เพราะไม่เป็นไปตามอำนาจแห่งกรรมต่อไป กรรมจึงสิ้นไป เพราะกรรมสิ้นไป ทุกข์จึงสิ้นไป เพราะทุกข์สิ้นไป เวทนาจึงสิ้นไป เพราะเวทนาสิ้นไป ทุกข์ทั้งปวงจึงจักเป็นอันสลายไป”
(คัมภีร์มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑๒ หน้า ๑๘๒ ฉบับมหาจุฬา)
ทำความเพียรเพื่ออะไร
พระพุทธเจ้าทรงแสดงการทำความเพียรแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
“ภิกษุทั้งหลาย บุคคลควรทำความเพียรด้วยฐานะ ๓ ประการ คือ
๑. เพื่อความไม่เกิดขึ้นแห่งบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น
๒. เพื่อความเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น
๓. เพื่อความอดกลั้นเวทนาทั้งหลาย อันมีในร่างกายที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นทุกข์ กล้าแข็ง เจ็บปวด เผ็ดร้อน ไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจ พรากชีวิต
บุคคลควรทำความเพียรด้วยฐานะ ๓ ประการนี้
ภิกษุทั้งหลาย ในกาลใด ภิกษุทำความเพียรเพื่อความไม่เกิดขึ้นแห่งบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น เพื่อความเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น เพื่อความอดกลั้นเวทนาทั้งหลายอันมีในร่างกายที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นทุกข์ กล้าแข็ง เจ็บปวด เผ็ดร้อน ไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจ พรากชีวิต ในกาลนั้น ภิกษุนี้เราเรียกว่า มีความเพียร มีปัญญารักษาตน มีสติเพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ"
(อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๒๐ หน้า ๒๑๑ ฉบับมหาจุฬา)
พาหิยสูตร
พระพุทธเจ้าตรัสสอนพาหิยะขณะเสด็จบิณฑบาตสรุปความว่า “ดูก่อนพาหิยะ เมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟัง เมื่อรับรู้อารมณ์ที่ได้รับรู้ก็สักแต่ว่ารับรู้ เมื่อรู้แจ้งธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งก็สักแต่ว่ารู้แจ้ง ดูก่อนพาหิยะ เมื่อเธอเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น ฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟัง รับรู้อารมณ์ที่ได้รับรู้ก็สักแต่ว่ารับรู้ เมื่อรู้แจ้งธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งก็สักแต่ว่ารู้แจ้ง เธอก็จะไม่มี เมื่อเธอไม่มี เธอก็จะไม่ยึดติดในสิ่งนั้น เมื่อเธอไม่ยึดติดในสิ่งนั้น เธอจักไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกอื่น ไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้เป็นที่สุดแห่งทุกข์”
ด้วยฟังพระธรรมเทศนาย่อของพระพุทธเจ้า จิตของพาหิยะทารุจีริยะจึงหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
(สรุปความจากพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๒๕ หน้า ๑๘๖ ฉบับมหาจุฬา)
วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554
อัมพสุตร ว่าด้วยบุคคลเปรียบเหมือนมะม่วง
อัมพสูตร ว่าด้วยบุคคลเปรียบเหมือนมะม่วง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย มะม่วง ๔ ชนิดนี้ มะม่วง ๔ ชนิด อะไรบ้าง คือ
๑. มะม่วงดิบแต่ผิวสุก ๒. มะม่วงสุกแต่ผิวดิบ
๓. มะม่วงดิบและผิวดิบ ๔. มะม่วงสุกและผิวสุก
ภิกษุทั้งหลาย มะม่วง ๔ ชนิดนี้แล"
ภิกษุทั้งหลาย ในทำนองเดียวกัน บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วง ๔ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก บุคคล ๔ จำพวกไหนบ้าง คือ
๑. บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงดิบแต่ผิวสุก
๒. บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงสุกแต่ผิวดิบ
๓. บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงดิบและผิวดิบ
๔. บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงสุกและผิวสุก
บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงดิบแต่ผิวสุก เป็นอย่างไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้มีการก้าวไป การถอยกลับ การแลดู การเหลียวดูการคู้เข้า การเหยียดออก การครองสังฆาฏิ บาตร และจีวรที่น่าเลื่อมใส แต่เขาไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงดิบแต่ผิวสุก เป็นอย่างนี้แล เรากล่าวเปรียบบุคคลประเภทนี้ว่าเหมือนมะม่วงดิบแต่ผิวสุก
บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงสุกแต่ผิวดิบ เป็นอย่างไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้มีการก้าวไป การถอยกลับ การแลดู การเหลียวดู การคู้เข้า การเหยียดออก การครองสังฆาฏิ บาตร และจีวรที่ไม่น่าเลื่อมใส แต่เขารู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงสุกและผิวดิบ เป็นอย่างนี้แล เรากล่าวเปรียบบุคคลประเภทนี้ว่าเหมือนมะม่วงสุกแต่ผิวดิบ
บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงดิบและผิวดิบ เป็นอย่างไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้มีการก้าวไปการถอยกลับ การแลดู การเหลียวดู การคู้เข้า การเหยียดออก การครองสังฆาฏิ บาตร และจีวรที่ไม่น่าเลื่อมใส และเขาไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงดิบและผิวดิบ เป็นอย่างนี้แล เรากล่าวเปรียบบุคคลประเภทนี้ว่าเหมือนมะม่วงดิบและผิวดิบ
บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงสุกและผิวสุก เป็นอย่างไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้มีการก้าวไป การถอยกลับ การแลดู การเหลียวดู การคู้เข้า การเหยียดออก การครองสังฆาฏิ บาตร และจีวรที่น่าเลื่อมใส และเขา รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงสุกและผิวสุก เป็นอย่างนี้แล เรากล่าวเปรียบบุคคลประเภทนี้ว่า เหมือนมะม่วงสุกและผิวสุก ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วง ๔ จำพวกนี้แลมีปรากฏอยู่ในโลก
(พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต เล่ม ๒๑ ข้อ ๑๐๕ หน้า ๑๖๒ ฉบับมหาจุฬา)
บุคคลที่เหมือนมะม่วงดิบแต่ผิวสุก คือ ปุถุชนมารยาทดี
บุคคลที่เหมือนมะม่วงสุกแต่ผิวดิบ คือ พระอริยะมารยาทไม่ดี
บุคคลที่เหมือนมะม่วงดิบและผิวดิบ คือ ปุถุชนมารยาทไม่ดี
บุคคลที่เหมือนมะม่วงสุกและผิวสุก คือ พระอริยะมารยาทดี
วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ปาฐกถา "วันสามเณร"ปี๕๔
สามเณรทั้งหลายโอกาสนี้เรามาประชุมร่วมกัน ในโอกาสอันพิเศษนี้มีทั้งท่านที่เป็นรุ่นพี่ตอนเป็นสามเณร มีทั้งเณรเล็กเณรใหญ่เณรโข่งหน้าไปแล้วแต่ไม่ยอมญัตติพระสักที "วันสามเณร"จัดขึ้นที่วัดสระเกศเป็นประจำทุกปี ปีนี้เจ้าประคุณสมเด็จท่านเป็นห่วงการศึกษาของสามเณรมาก มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์บ้านเราว่าสามเณรอ่อนภาษาไทย อ่อนมากอ่อนน้อยให้น้องสามเณรพิจารณาตัวเอง ถ้าเรายังไม่เก่งอันใดให้เราฝึกขอให้มีความขยันในกิจกิจส่วนตัว ธุระส่วนรวม
การได้มาบวชจะเป็นพระเป็นเณรมีค่าเท่ากันทำดีก็เป็นศรีแก่ตัวเรา เป็นที่น่าเลื่อมใสของประชาชน ถ้าทำไม่ดีปฏิบัติไม่ดีก็มัวหมองไปถึงครูบาอาจารย์ผู้สั่งสอน พระศาสนาก็เป็นอันโดนผู้อื่นตำหนิ
น้องสามเณรให้จำไว้ว่าจะทำอะไรให้ลูบดูหัวตัวเองก่อน มองดูเราว่าใส่ชุดอะไรถ้าไม่เหมือนชาวบ้านเขาการพูด การคิด การทำเราต้องสำรวมระวังอยากจะพูดเลยก็ไม่ได้อยากจะทำตามใจอยากนี้ก็ไม่ได้
เวลาโยมเขามองเรา เขามองเราสูงกว่าเขา ถึงแม้ว่าเราเป็นเด็กไม่รู้ว่าลูกใคร พอมาบวชเขาก็ไหว้เขาก็บูชา
กิริยามารยาทการแสดงออกจึงต้องสำรวมให้มาก มีสุภาษิตไทยว่า "รากบัวหยั่งลึกตื้นชลธาร มารยาทส่อสันดานชาติเชื้อ" ถ้าเราทำดีเขาก็จะยกยอเรา ยกยอวัดยกยอครุบาอาจารย์ว่าสอนมาดี ถ้าเราทำไม่ดีประพฤติเสียหายเขาก็จะพาลมาว่าถึงสมภารเจ้าวัดมาถึงครูบาอาจารย์พลอยหนักใจไปตามๆกัน
ถ้าเราสร้างศรัทธาให้โยมได้แล้วมันได้หมด ไม่ต้องมีอะไรมากหรอก ไม่ต้องพูดอะไรมากเขาก็เลื่อมใส จำได้ไหมตอนพระสารีบุตรไปเจอพระอัสสชิกำลังบิณฑบาตรกลางชุมชน พอมองเห็นปุ๊บเกิดความเลื่อมใสในกิริยามารยาทของสมณรูปนี้ว่าไม่เหมือนกับกิริยามารยาทในนักบวชลัทธิอื่น ตอนนี้พระสารีบุตรเกิดศรัทธาขึ้นแล้วนะ พอได้ฟังธรรมที่พระอัสสชิกล่าวเพียงสั้นๆเท่านั้นว่า ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุพระศาสดาตรัสเหตุนั้นและการดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดามีปกติตรัสอย่างนี้ สรุปได้ว่าคราวนั้นเราได้พระอัครสาวกมา๒รูปเป็นกำลังของพระศาสนาสืบมา
สามเณรก็เป็นบุคลากรในพระศาสนาที่มีกำลังอยู่มาก สามเณรสฺส อปจฺจํ สามเณรคือเหล่ากอของสมณะถ้าสามเณรแข็งแรงไม่ได้หมายความว่าเราจะไปยกพวกตีกันนะหมายถึงเก่ง มีความรู้พระศาสนาเราก็มั่นคง เพราะเรานี้คือผู้สืบต่อพระศาสนา สืบต่อคำสอน สืบทอดอาจาริยวัตรของครูบาอาจารย์
ถึงแม้ว่าน้องเณรทั้งหลายมาจากต่างถิ่นกัน ต่างความเป็นอยู่แต่เรามาเป็นลูกของพระพุทธเจ้าพุทธบุตร พุทธชิโนรส ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติตามคำำสอนอันประเสริฐที่เรียกว่า "พรหมจรรย์" ขอให้พรหมจรรย์ของเราทั้งหลายนั้น จงเป็นไปเพื่อประโยชน์และการทำที่สุดแห่งทุกข์ทั้งปวง
บวชมาแล้วจะบวชพระหรือเณรเป็นประโยชน์ทั้งนั้นและเป็นประโยชน์ที่อนุเคราะห์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายด้วย
ดูถูกสามเณรไม่ได้นะพระเจ้าอโศกยอมรับนับถือพระศาสนาได้ก็เพราะสามเณรตัวน้อยๆอายุ๗ขวบเท่านั้นเป็นน้องเราด้วยซ้ำ
อายุของพระพุทธศาสนาในประเทสศรีลังกาที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้เพราะกำลังของสามเณรรูปหนึ่งที่พยายามปกป้องรักษาคำสอนไว้และไม่ใช่ว่าจำวัดอยู่เฉยๆนะ่ท่านขยันเรียนมาก ขยันจำพระสูตรแรกอ่านบาลีไม่ได้เดินทางไปทั่วแคว้นเพื่อจะหาคนที่มาสอนตัวเองให้อ่านออกเขียนได้ พระอาจารย์ก็อยากจะเห็นสามเณรแห่งสยามประเทศเก่งอย่างนี้
ที่พูดมานี้พูดให้เห็นเป็ํนตัวอย่างว่าสามเณรนี้เป็นกำลังของพระศาสนา เราอย่าลืมตัวเรา ครูบาอาจารย์สอนถ้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ ต้องการรู้มากกว่านี้ก็ไปค้นต่อ ตู้พระไตรปิฎกอยู่บนศาลาจะล้มทับหัวอยู่แล้วไปเปิดอ่านดูไม่ใช่ว่าเราจะรอครูบาอาจารย์ ความรู้เิกิดจากการใฝ่หา คนที่ขยันลุกออกจากที่นอน จากเกมส์เท่านั้นจึงจะได้ความรู้เพิ่มขึ้นไม่ใช่โยมถามสติคืออะไร พระพุทธเจ้าแสดงธรรมจักรอย่างไร ไม่รู้ อธิบายให้โยมไม่ได้ แต่พรีเมี่ยม เอฟซีรู้ละเอียดยิบ อันนี้อายโยมเขานะ ทุกวันนี้โยมศึกษาธรรมเยอะเขาสนใจมากเหมือนกันแล้วถ้าเราไม่พัฒนาเราก็จะเป็นสามเณรที่ล้าหลัง ถ้าเรายังเรียบแบบเช้าชามเย็นชาม ไปไม่รอดอยู่เป็นเณรก็ไม่รอดออกไปข้างนอกยิ่งต้องแข่งขันมาก
นี้รูปท่านเจ้าคุณอาจารย์ปยุตฺโต พระพรหมคุณาภรณ์ นี้ไม่ใช่พระธรรมดานะยี่ห้อระดับโลก แต่ก่อนท่านก็เป็นสามเณรชื่อสามเณรประยุทธ อารยางกูร ท่านก็มาจากบ้านนอกเหมือนเราเข้ากรุงมาเหมือนกัน มาบวชท่านก็ท่องเหมือนเรา เรียนเหมือนเรา ปุริโส ปุริสา สิ โย อํ โย นา หิ เหมือนเรา
ใครจะไปรู้ละนั่งฟังอยู่ตรงนี้จะเป็นบุคคลสำคัญโลกคนต่อไป สู้ๆนะ เรามีตัวอย่างเป็นครูบาอาจารย์ของเราเอาท่านเป็นแบบอย่าง วัดที่บ้านยังเป็นวัดร้าง มีหลวงตาจำพรรษาอยู่ กลับไปบ้านเราก็ไปช่วยท่านได้ ได้เรียนอะไรมา ที่ถูกที่ควรกลับไปช่วยท่านพัฒนาก็ได้ ก็ใครจะไปทราบละตัวเล็กๆต่อไปจะเป็นผู้นำจิตวิญาณของชุมชน
ท่านเจ้าคุณอาจารย์พยอมเป็นทั้งนักเทศน์ นักพัฒนา นักเผยแผ่ เทศน์จนเป็นลมเอาอย่างท่านขยันเหมือนที่ท่านว่าไว้ "ขยันให้เหงื่อออกทุกรูขุมขนดีกว่าขี้เกียจแล้วยากจน จนน้ำลนออกทางตา" บางทีเณรที่คิดว่าจบม.๖จะสึกๆบอกหลวงพี่ว่าไม่ไหวแล้วครับผ้ามันร้อนอาจจะเป็นเจ้าอาวาสก็ได้ เพื่อนพระอาจารย์เรียนด้วยกันมาทำท่าจะไปตั้งแต่ม.๓จบม.๖แม่บอกรอก่อนเอาป.ตรีบวชพระให้โยมแม่ก่อน ตอนนี้โยมแม่กลับมาถามว่าจะสึกเมื่อไหร่ลูก ตอนนี้ลูกชายบอกรอก่อน เดี๋ยวนี้กำลังสร้างศาลาอยู่เป็นเจ้าอาวาสแล้ว มันไม่แน่นะ
สำหรับตัวเราแล้วเรื่องต่างๆมันเป็นอนาคต ถามน้องเณรทุกคนอดีต อนาคต ปัจจุบนอันไหนสำคัญที่สุด...(ปัจจบันครับ) ปัจจุบันนะ ปัจจุบันนั้นคือความจริง ระหว่างเรื่องเพ้อฝัน เรื่องที่ผ่านผันมาเราจะอยู่กับอะไร ถ้าเราเลือกอยู่กับอนาคตก็จะได้แต่ฝันถึงวันพรุ่งนี้ ฉันเช้าเสร็จก็นอนรอโยมมาถวายเพลอย่างเดียวกิจวัตรไม่ได้อะไรคือความเจริญในชีวิต ใจไปอยู่กับอดีตไม่น่าบวชเลย โดนบังคับบวชคิดถึงเพื่อนเก่า บวชแล้วต้องนั่งสมาธิ สวดมนต์เดินๆนั่งๆ ท่องภาษาอะไรก็ไม่รู้ อยู่ไม่ได้ มันก็ไม่เป็นสุข ถ้าเราจะเอาอนาคตก็ฝันเอา อยากเรียนเก่งก็ฝันเอา นอนฝันเอาก็ได้
โลกนี้มันเป็นความจริงของมันและมันก็ไม่เคยโกหกใครนะ เราต่างหากไปเป็นคนหลงความจริงนั้น อยากมีมันก็เป็นทุกข์ ไม่อยากมีมันก็เป็นทุกข์ ไม่อยากเกิดมาเ็ป็นสามเณรจตุพงศ์เลย มันโง่จัง อันนี้ก็เป็นทุกข์ อะไรเราก็อย่าไปหลงมัน ธรรมอันยังประโยชน์ให้สำเร็จได้และมีอุปการะมากคือสติ สัมปชัญญะ๒อย่างนี้เป็นรวมลงแห่งอรรถะและประโยชน์
ปัจจุบันนี้เราเป็นสามเณร ให้อดทนตั้งใจต่อการกระทำความดี ทำความดีจะเป็นผลก็ต่อเมื่อเราไม่ละทิ้งความดีนั้นและความดีนั้นก็ไม่ทิ้งเราเป็นคุณสมบัติของเรามีแต่ความดีเท่านั้นที่เขาจะยกย่องเชิดชู จะอยู่ก็ให้ทำความดีออกไปแล้วก็ยังรักษาความดีนั้นเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีต่อไป
วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554
กำลังใจไม่มีวันหมด
ทุกคนทำงานหนักทุกคนแต่ไม่อยากให้เครียด งานหนักมันก็ต้องเหนื่อย บางทีงานที่ทำไม่มีค่ากำนัลตอบแทน แต่ที่จะทำงานให้มีความสุขได้คือความพอใจในงานที่เราทำ ทราบข่าวว่าพนักงานแพ็คของทำงานหนักมากหรือจะเป็นส่วนใดๆขอให้กำลังในทุกส่วนทราบว่าบางทีถึงต้องพลัดเวรกันทำคนที่ลงไปเป็นจิตอาสาอย่างนี้เรียกว่าทำเพื่อประเทศชาติ ถ้าเราไม่ทำหรือทำคนเดียวงานที่ทำก็จะยากไม่ว่าจะเป็นในองค์กรหรืองานส่วนรวมงานนั้นหรือองค์กรนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจอันดีต่อกันบรรยากาศแห่งความสุขก็ไม่มี ที่ออกมาทำอย่างนี้เรียกว่าความสามัคคี ความสามัคคีนี้เป็นพลังเป็นธรรมที่มีอำนาจ ถ้างานนี้ต่างคนต่างทำมันก็ไม่เป็นพลังไม่เกิดความสามัคคี
เรื่องของโลกมันเป็นเรื่องธรรมดา
ชาวบ้านที่น้ำท่วมทำอย่างไรดี อันนี้หนีไม่พ้นความจริงแล้วถึงแม้ทรัพย์สินจะเสียหายแต่หากครอบครัวเรายังอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันก็เป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง ความท้อความเสียใจอาจจะเกิดขึ้น ภัยธรรมชาติมันเป็นเรื่องของธรรมชาติเราจะห้ามฝนห้ามฟ้าห้ามน้ำไม่ให้ไหลก็ไม่ได้แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญมากกว่าที่เราได้ช่วยเหลือกันอันนี้สำคัญอย่างยิ่ง โบราณว่าไว้ว่า"รู้เท่าเอาไว้ป้องกัน รู้ทันเอาไว้แก้" ก่อนอื่นขอให้ตั้งใจของเราไว้ให้ดีก่อนเพราะความเครียดมันจะเกิด ทุกข์เพราะการสูญเสีย ทุกเพราะประสบกับสิ่งที่ไม่ต้องการไม่อยากประสบพบเจอมันไม่ถูกใจเราไม่ต้องการให้น้อมใจเข้าหาความจริงเห็นมันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างนี้คงพอเป็นที่สบายใจ ทุกอย่างมีทางเริ่มต้นใหม่เอาใหม่ค่อยสู้้กันอีกที
คนที่ลงไปทำงานช่วยเป็นจิตอาสาบ้างข้าราชการที่ลงไปดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชนขอให้ตั้งใจของเราไว้ในฉันทะธรรม ถ้าหากมันยังไม่เกิดมีให้สร้างฉันทะนี้ขึ้นมามองให้เห็นประโยชน์ในส่วนงานที่เราทำงานนี้ถึงจะไม่มีผลกำไรแต่ที่จะได้คือน้ำใจที่ประเสริฐ พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ก็บำเพ็ญธรรมนี้คือจาคะความเสียสละเเสียสละความสุขส่วนตัวในพระราชวังมานอนกลางดินกินกลางทรายเดินทางประกาศพระศาสนาไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพราะพระองค์ตั้งใจของพระองค์ไว้ในธรรมที่จะยังประโยชน์แก่มหาชน
รุ่นต่อเป็นพระสาวกก็ทำงานนี้หนักเช่นกันดูตัวอย่างหลวงพ่อชาถึงสังขารท่านจะเป็นอัมพาตแต่งานที่ท่านทำเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขของชาวโลก
หลวงตามหาบัวท่านมีร่างกายสังขารถึง๙๐แต่กำลังใจในการทำงานไม่เหน็ดเหนื่อยจนวาระสุดท้ายก็ทำงานเพื่อประโยชน์สุขของชนหมู่มาก
หลวงพ่อปัญญาท่านแสดงธรรมจนวาระสุดท้ายของท่าน
พระศาสดารวมทั้งพระสาวกทั้งหลายเหล่านี้ต่างก็ตั้งฉันทะธรรมไว้ในใจ วิริยะในการประพฤติปฏิบัติธรรมหรืองานที่ท่านทำ เป็นเหตุให้ไม่รู้จักคำว่าเครียดหรือท้อ เหนื่อยได้แต่ไม่ได้ท้อหรือล้มเลิกงานที่เราทำฉันทะที่ตั้งไว้ดีก็ทำให้ความมั่นคงของงานเกิดด้วยจิตตะคือความตั้งใจไว้ดีนั่นแล วิมังสาไตร่ตรองเสมอพิจารณางานนีที่เราทำว่าเป็นประโยชน์ได้มหากุศลมีน้ำใจพระโพธิสัตว์อันนี้เป็นบุญด้วยแท้
เห็นพี่น้องเราช่วยกันบริจาคเป็นเงินทองหรือเป็นเครื่องอุปโภคบริโภคนับว่าได้ทำบุญที่ใหญ่พระศาสดาตรัสว่าเป็นกาลทานเป้นทานที่มีอานิสงสิืมากจัดอยู่ใน ทุพพิกขทาน ให้ทานเมื่อเกิดเหตุเภทภัยไม่ว่าจะเป้นน้ำท่วม ไฟไหม้ หนาวจัดอันนี้จัดเป้นทุพพิกขทานเป้นมหาทาน
มีเรื่องพอจะเล่าให้ฟังในที่นี้ว่าครั้งหนึ่งมฆมานพนี้กำลังสร้างถนน สร้างศาสาท่าน้ำให้ผู้คนได้พักได้ดื่ม มีคนกลุ่มหนึ่งมาเห็นมฆมานพนี้นี้ทำงานก็เลยเข้าไปถามว่าท่านกำลังทำอะไรมฆมานพก็บอกความตามนั้นว่าจะทำให้คนส่วนมากที่เดินทางไปมาได้พักไ้ด้อาศัย คนเหล่านั้นเห็นว่าเป็นประโยชน์ดีนักแล จึงได้ช่วยมฆมานพทำงานขุดบ่อ สร้างศาลา ปรากฏว่าเมื่อถึงคราวล่วงลับดับกาลมฆมานพไปเป็นพระอินทร์ส่วนคนทั้งหลายที่ไปช่วยมฆมานพแม้ว่ามฆมานพจไม่ได้เอ่ยให้คำว่าวานช่วยด้วยไปเกิดบนสวรรค์ยามาเป็นสวรรค์ที่อยู่สูงกว่าชั้นดาวดึงส์ของพระอินทร์
ตอนนี้เรากำลังทำงานอนุเคราะห์แก่ชาวโลกทำงานเพื่อประโยชน์และความสุขของมหาชนเป็นบุญแล้วก็บุญใหญ่เพราะประโยชน์ที่ได้ตนเองได้ทำทานที่เรียกว่าจาคะคือเสียสละความเห็นแก่ตัว ความอาลัย เวลา ครอบครัวความสุขสบายเสียสละออกหมดไปทำงานเพื่อพี่น้องประชาน คนส่วนมากก็ได้รับประโยชน์จากความช่วยเหลือของเรา
ท่านทั้งหลายขอให้ตั้งใจให้ดีเถิดว่าจะทำประโยชน์ของตนและของผู้อื่นให้สำเร็จการที่ทำนั้นนับว่าเป็นมหากุศลของให้ท่านตั้งใจใจการทำงาน พี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี้ก็ให้ดำรงตนด้วยสติ มีพุทธภาษิตกล่าวไว้ตอนหนึ่งในกึสีลสูตรว่า .นรชนเหล่าใดนั้นดำรงอยู่ด้วยดีแล้วในขันติ โสรัจจะและสมาธิ ได้บรรลุถึงธรรมอันเป็นสาระแห่งสุตะและปัญญา ขออนุโมทนาในกุศลที่ทุกคนทุกท่านได้ร่วมกันทำมา ของให้กำลังทุกคนทุกท่าน เจริญพร
วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554
รู้อดีต รู้อนาคตรู้ปัจจุบันรู้ให้ชัดเห็นให้ชัด
แก้ไข
อดีต อนาคต ปัจจุบัน รู้ให้ชัด
มีธรรม๓อย่างที่เราควรยกขึ้นมาพิจารณาให้เห็นชัด เพื่อจักได้กระทำให้เป็นที่พึ่งแก่ตัวเป็นสมบัติแก่ตัว เป็นการสอนใจตัวเองเอาไว้ไม่ให้ไปอยู่ไกลจากตัวเราคือ อดีต อนาคต ปัจจุบัน ๓อย่างเบื้อต้นนี้ปัจจุบันสำคัญที่สุดแต่ถ้าหากเราไม่ยกขึ้นมาพิจารณากันก็อาจจะเป็นเพราะความหลงลืมบ้าง ไม่รู้บ้าง มันก็จะทำให้เราหลงอยู่ในอารมณ์อดีตบ้าง อารมณ์อนาคตบ้าง เลยไม่ได้ทันพิจารณาปัจจุบันสักเท่าไหร่
คำว่าความปรุงแต่งมันก็คืออารมณ์ความคิดนั้นเองไปปรุงแต่ง ไม่มีอะไรปรุงแต่งให้มันดีหรือไม่ดีนอกจากตัวเรานี้ พิจารณาเพ่งเข้ามาก็คือตัวเราความคิดของเรา ของดี ของชั่วมันก็เกิดจากปรุงแต่งของเรา วิธีแก้ก็คือแก้ที่ความคิด คิดอย่างไรไม่ให้มันเป็นไปในความปรุงแต่งความยึด นั่นก็คืออย่าไปคิดอะไร ให้รู้ไว้ รู้คือรู้ รู้ก็รู้ดูเฉยๆ สักแต่ว่า ตามที่มันเกิด รู้ตามที่มันเป้นอย่างนี้ก็เรียกว่ารู้อยู่ในขณะปัจจุบัน
พระพุทธเจ้าท่านเคยอุทานไว้ว่าเราแสวงหาซึ่งนายช่างผู้ปลูกเรือน บัดนี้เรารู้แล้วเห็นแล้วมันคือตัวนี้เองคือตัณหา โอ้มันเป้นความหลง ท่านอุทานให้เห็นปรากฎชัดว่า บัดนี้เรามาเจอเจ้าเรารื้อโครงสร้างของท่านแล้วอย่างนี้เรียกว่ารู้เช่นเห็นชาติกันเลยทีเดียว ด้วยว่าพระองค์ได้พิจารณาธรรมได้รู้ว่าธรรมทุกอย่างมันไหลรวมมาสู่ใจ
ธรรมดานี้ถ้ามันรู้แล้วมันก็ไม่เป็นอะไรแต่ถ้ายึดมั่นในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสเสียแล้วก็ได้ชื่อว่าติดบ่วงเข้าจนได้ออกไปไหนไม่ได้แล้ว
ถ้าเราไม่ได้พิจารณาแยกแยะให้เห็นชัดก็ออกจากทุกข์ไม่ได้ ไม่ได้คิดก็ไม่ทันได้เห็นถึงต้นตอที่เกิดและกระแสธรรมที่ไหลไป มีปัญญานี้ให้ยกขึ้นมาสอนใจตัวเองเรียกว่าปัญญาอบรมใจ สอนตัวเองให้มองเห็นสัจธรรมถ้ามันจะหลงก็ยกให้ยกความจริงขึ้นมาสู้กัน ข่มมันไว้อย่าให้มันฟูอย่าให้มันจมลง
สอนใจตัวเองให้เข้าใจความจริง สมมุติว่ากิเลสบอกว่าอันนี้งาม น่ายินดีนักแต่ความจริงมันก็ไม่ได้เป้นอย่างนั้นมันมีอยู่ว่า ของมันไม่เที่ยง ของมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปยกตัวนี้ขึ้นมาพิจารณามันก็คลายกำหนัดลงไปได้ ความโกรธมันเกิดขึ้นก็พิจารณาลงตรงนี้ ความโลกเกิดขึ้นก็พิจารณาลงตรงนี้ ความหลงเกิดขึ้นก็พิจารณาลงรงนี้ถ้าพิจารณาได้จะเห็นว่าของๆเราที่มีอยู่ก็เป้นของไม่น่ายึดถือน่ายินดี ของๆคนอื่นที่มีก็เหมือนกันไม่น่ายึดถือไม่น่ายินดี อย่างนี้ความโลภก็หาย เราก็ไม่ได้ลุแก่ลาภแก่ยศแก่อำนาจกัน ความยึดในตัวเรา ความยึดในผู้อื่นก็ไม่มี
ยถา ปญาย ปสฺสติ เมื่อใดที่เห็นด้วยปัญญาย่อมเข้าใจได้ดีแยบคาย เมื่อรู้เมื่อเห็นอันใดก็ไม่พึงยินดีให้รู้เฉพาะสิ่งนั้นมันคืออะไร
สังขารความปรุงแต่งมันเป็นไปในอารมณ์ทั้งหลาย๓อย่างเบื้องต้นนั้นคือ อดีต อนาคต ปัจจุบัน ความปรุงแต่งนี้มันทำให้จิตฟุ้งซ่านไปในอดีต แล่นไปในอนาคตมันไม่อยู่ในปัจจุบันท่านว่าถ้ามันฟุ้งซ่านจะยืนคิด เดินคิด นั่งคิด นอนคิดมันฟุ้งไปได้หมดเหมือนเรากินเหล้ากินในอิริยาบถใดเมื่อมันเข้าไปถึงคอมันก็เมาหมด ถ้าเราปรุงแต่งก็เหมือนเทน้ำลงในตุ่มที่มีรูรั่วไม่เต็มไม่พอไม่มีวันที่จะอิ่มในความพอใจ
แต่ละเรื่องมันก็อยู่ในกามคุณที่นั้น หลักใหญ่ท่านว่าไว้มี๒อย่าง ๑.กายสังขาร ๒งจิตสังขาร เรื่องนี้มันเป็นเรื่องทีจักต้องแก้ไขปล่อยให้ไฟติดมันก็จะลามไป ยากที่จะแก้ไขดับลงได้ ไฟมันลุกแรงบ้าง เบาแรงลงไปบ้างตามเชื้อไฟ ถ้าเชื้อไฟยังมีมันก็ลุกเป็นไฟเสมอได้ตลอดเวลา ตัณหายังมีมันก็เป็นเชื้อ ความโกรธนี้มันก็เป็นเชื้อ ความโลภก็เป็นเชื้อ ความหลงก็เป็นเชื้อ เพราะมันจะยังมีความรักความหลงอยู่ ไฟเสมอด้วยราคะไม่มี ไฟเสมอด้วยโทสะไม่มี ไฟเสมอด้วยความหลงไม่มี
ถ้าความจริงมันเป็นอย่างหนึ่ง เราเข้าใจไปอีกอย่างหนึ่ง การกระทำเป็นอีกอย่างหนึ่งมันก็ถอนยาก ถอนทุกข์ได้ยาก ถอนโลภ ถอนโกรธ ถอนหลงได้ยาก
หลงของที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง หลงของที่ไม่สุขว่าสุข หลงของที่ไม่งามว่างาม หลงของที่ไม่มีตัวตน ว่าเป็นตัวตน เมื่อสิ่งเหล่านี้มันไม่เป็นตามใจต้องการ นั่นคือความทุกข์
หีบศพที่ประดับด้วยดอกไม้ของงาม แต่ภายในนั้นก็คือซากเน่าอันเป็นของน่าเกลียด การปรุงแต่งในสมมุติก็เป็นอย่างนั้น
สิ่งทั้งหลายมันเป็นธรรมชาติ เราไปสมมุติว่ามันเป็นตัวเราแล้วก็สมมุติต่อไปอีกว่ามันเป็นของเรา ใจจึงได้เกิดความหลง ไม่รู้แจ้งเห็นจริงในของสมมุติจึงเรียกว่า อวิชชา ความไม่รู้จริง ความไม่รู้จริงนี้ปิดบังไว้บังตาบังใจเรา มันเลยกลายเป็นความเคยชินจนเป็นของธรรมดา
ว่าไปแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว เราไปแก้ที่ใครไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็แก้ให้ไม่ได้ แก้ที่ลูกก็ไม่ได้อีก แก้ที่พ่อแม่ก็ไม่ได้ ปัญญาตัวนี้อยู่ในตัวเราอยู่ เพียงแต่ไม่ค่อยได้ฝึกมันเท่านั้น มันจึงไม่ตั้งขึ้นมั่นคงไม่มีกำลังที่จะไปสู้กับกิเลสตัณหา
วีปฏิบัติก็คืออย่าหลบปัญหา ให้เลือกเฟ้นธรรมที่จะนำมาปฏิบัติแก้ความเห็น ปัญญาก็คือความคิด สังขารก็คือความคิดแต่ตัวนี้มันต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว คิดไปตามสังขารจะมีอาการเป็นไปตามกามคุณ ว่าน่ารักน่าใคร่ ส่วนปัญญานี้ก็จะรู้ได้ว่า ไม่เที่ยง ไม่นานจักดับไป กามคุณเป้นของไม่สะอาด อาหารที่เคี้ยวไปก็สกปรก อาหารที่ไหลออกก็สกปรก สิ่งที่ไหลออกมาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทวารหนัก ทวารเบาก็เป้นิส่งของสกปรก เป็นทุกข์เป็นอนัตตาเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดลักษณะนี้เรียกว่า วิปัสสนาญาณ
วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554
ธรรมอันเป็นพลังและที่ตั้งแห่งความสำเร็จ
ฉันทะธรรมนี้สำคัญเป็นที่หยั่งลงของความสุขและประโยชน์ความขยันความยินดีพึงมีได้เพราะมีฉันทะ ทำงานไม่เหน็ดเหนื่อยไม่ท้อเพราะมีฉันทะเพราะรักเพราะความพอใจ
อย่างหลวงพ่อปัญญาท่านทำงานด้วยฉันทะอายุ ๙๐ ไม่เหนื่อยไม่ท้อ ไม่หยุดเป็นตัวอย่างที่ดี ให้เราคนหนุ่มมีไฟเอาเป็นแบบอย่าง บางคนเพราะขาดฉันทะจึงไม่เห็นคุณค่าของชีวิตของหน้าที่จึงไม่ได้ความสุขไม่ได้ประโยชน์จากชีวิตจากหน้าที่ของตน
พระศาสดาท่านบอกว่าท่านเป็นผู้มีฉันทะอยู่เสมอเริ่มตั้งแต่ออกแสวงหาโมกขธรรมแล้ว ฉันทะที่ไม่เคยลดละไม่มีคำว่าเกียจคร้านไม่มีคำว่าท้อมีแต่คำว่าสู้ใหม่ เอาใหม่พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
เราฟังแล้วก็สำเหนียกนึกย้อนมองดูเราเองนั้นและว่าเป็นผู้ปฎิบัติไหมอันที่จริงการปฏิบัติธรรมมันก็ไม่ยากก็เพียงแต่เอาธรรมนั้นมาประพฤติเข้าใจอย่างนี้ก็ทำถูกต้อง อยู่ไหนก็ปฏิบัติธรรมได้ ที่นี้มันก็สบายเพราะเรามีธรรมทุกที่เป็นผู้ฉลาดต้องไม่ขาดธรรมให้รู้จักทำ
กล่าวถึงพระศาสดานี้ว่าไม่มีความลดละไม่เคยย่อท้อ ถ้าให้เราไปทำคงจะทำไม่ได้อย่างท่าน ก่อนพระศาสดาจะมาบำเพ็ญทุกรกิริยาแรกเริ่มก็ไปฝึกหัดลองทำตปสีวัตร วัตรอันแผดเผานั่งตะปูแก้ผ้าเมื่อตากแดดตากลมถ้าถึงฤดูหนาวก็ไปตากหิมะกินขี้วัว คลานเหมือนเด็กไปตามทางตามป่าเขาเจอมูลเจอมูตรก็เก็บเป็นอาหาร
พระศาสดาปฏิบัติเป็นตัวอย่างว่าความเพียรนี้มีอำนาจจริง อำนาจไม่ใช่การข่มเหงกัน อำนาจนี้คืออำนวยผลอันยิ่งใหญ่มาให้
ถ้าพระศาสดาละความเพียรเสียก็คงไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพระศาสดาละความพอใจในการแสดงพระธรรมเทศนาเสีย ก็คงไม่มีพระธรรมอันนำสุขมาให้นำประโยชน์มาให้แก่เรานี้
เรามุ่งหวังทำการอันใดละฉันทะละความพอใจไม่ได้ขาดไม่ได้ ประการแรกสร้างฉันทะขึ้นมาให้ได้ก่อน สร้างเหตุให้เกิดมีปัจจัยที่ส่งต่อให้เกิดผล
ย้ำอีกทีว่าฉันทะเป็นคุณสมบัติของพระผู้มีภาคเจ้า พระองค์มีฉันทะไม่ย่อถอยเป็นสัมมาสัมพุทธะนี้เพราะมีฉันทะเทศนาสั่งสอนตลอดพระชนมายุกาลก็เพราะฉันทะ
เพราะฉันทะจึงทำให้การงานมีความสุข เรียนเป็นสุข ชีวิตเป็นสุข ถ้าจะหาเรื่องพัฒนาตัวเราก็เริ่มพัฒนากันที่ตรงนี้
พระศาสดาปฏิบัติจวนจะตายก่อนมาเป็นศาสดาเรา คลำทางปฏิบัติกว่าจะค้นพบมรรคผลเห็นว่าปฏิปทานี้นี้ไม่ใช้มรรคสิ่งนี้ไม่ใช้ทางควรดำเนิน
อย่างเราทุกคนรุ่นหลัง ผู้ปฏิบัติตามหลังจะว่าเป็นโชคดีของเราก็ว่าได้เพราะมีพระสัทธรรมให้เราได้ศึกษาให้เราปฏิบัติในทางที่ถูกที่ควร พระพุทธองค์ชี้ทางให้แล้ว ทำทางให้เดินเหลือแต่เราเท่านั้นเดินไปไหม
เข้าใจยากอยู่หรอกก็เหมือนกับคนไม่รู้อะไรมีคนบอกว่า ท่านเอ่ย ทำแบบนี้นะ รู้อย่างนี้นะ เราไม่เข้าใจก็ยืนทำหน้างง เพราะวิธีที่เราเคยทำมา เคยพากันเข้าใจนั้นมันคนละอย่าง
ท่านบอกว่าวางของหนักเสียเน้อ ให้เข้าใจว่าความยึดมั่นถือมั่นคือของหนักนั้นเอง
ธรรมนี้เมื่อบุคคลเห็นด้วยปัญญาแล้วจึงแจ่มแจ้ง ความเจริญในธรรมคือการประพฤติคือการพฤติธรรมนั่นแลอย่าพากันวางความเพียรเสีย การประพฤติธรรมนี้สำคัญ ผลนี้มีได้เพราะเจริญมรรคให้ดีแล้ว
ท่านหลวงพ่อปัญญาท่านนับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เรา ดูครูบาอาจารย์ที่เรานับถือก็ได้ถึงท่านจะสังขารล่วงโรยมีภาระหนักก็ปฏิบัติวัตรอันเป็นการอนุเคราะห์ประโยชน์แก่มหาชน
ความขี้เกียจนี้ไม่ใช่ธรรมของพระศาสดาไม่ใช่ธรรมที่จะนำความเจริญในพระศาสนานี้ ความเจริญเกิดได้ด้วยความขยัน เป็นพระขี้เกียจไม่ดี เป็นนายกขี้เกียจไม่ดี เป็นครูขี้เกียจไม่ดี เป็นนักเรียนขี้เกียจไม่ดี ความขี้เกียจนี้เสื่อมอย่างเดียว ลาภที่ควรได้ก็ไม่ได้ ยศนี้ควรจะปรากฏก็ไม่มีผู้ประพฤติอกุศลอันนี้ ย่อมจะเสื่อมลาภ เสื่อมจากยศ เสื่อมสุข
วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554
ทำไฉนหนอ การทำที่สุดแห่งทุกข์จะพึงมีแก่เราได้
สิ้นสุดที่ธรรม
ที่สุดแห่งทุกข์คือที่สุดของการดับแห่งกระแสของปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าตรัสว่าเพราะเราไม่รู้อริยสัจจ์ ๔ จึงไม่สามารถทำที่สุดของการดับทุกข์ได้
"ชนเหล่าใด ไม่รู้ทั่วถึงซึ่งทุกข์ และเหตุเกิดแห่งทุกข์และ
ธรรมเป็นที่ดับแห่งทุกข์ทั้งปวงโดยไม่เหลือ และหนทางเป็นที่ถึงซึ่ง
ความเข้าไปสงบแห่งทุกข์; ชนเหล่านั้น พลาดแล้วจากเจโตวิมุตติ
และปัญญาวิมุตติ ไม่สมควรที่จะกระทำที่สุดแห่งทุกข์ มีแต่จะ
เข้าถึงซึ่งชาติและชรา.
ส่วนชนเหล่าใด รู้ทั่วถึงซึ่งทุกข์ และเหตุเกิดแห่งทุกข์ และ
ธรรมเป็นที่ดับแห่งทุกข์ทั้งปวงโดยไม่เหลือ และหนทางเป็นที่ถึงซึ่ง
ความเข้าไปสงบแห่งทุกข์; ชนเหล่านั้น ถึงพร้อมแล้วด้วยเจโตวิมุตติ
และปัญญาวิมุตติ สมควรที่จะกระทำที่สุดแห่งทุกข์ ไม่เข้าถึงซึ่งชาติ
และชรา".
- มหาวาร.สํ. ๑๙/๕๔๒/๑๗๐๐ – ๑๗๐๒
คนเราทั้งหลายต่างก็ดำเนินชีวิตอยู่เหมือนกันต่างก็ทำกิจกรรมการงานของตนเพื่อคำว่าพ้นทุกข์แต่นั่นก็ไม่เคยพบเลย สุขบ้างทุกข์บ้างอย่างนี้อยู่เรื่อยไปเกิดเบื่อๆอยากๆอย่างนี้พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าโลกเรามีทั้งสุขทั้งทุกข์ผสมปนกันไป มีทั้งอัสสาทะและอาทีนวะ พระพุทธเจ้าบอกให้ละเหตุแห่งทุกข์ไม่ใช่ให้หาทุกข์มาใส่ตัวอะไรคือความเสื่อมในกุศลธรรมพระพุทธเจ้าบอกไว้อย่าทำให้ละส่วนอันไหนที่เป็นกุศลที่จะเพิ่มพูนอรรถประโยชน์แก่ตัวเราได้พระพุทธเจ้าเรียกว่าภาวนาให้เพียรสร้างทำให้เจริญงอกงามขึ้นไม่ให้ละ
อัสสาทะคือโทษของกาม อาทีนวะคือคุณของกาม นิสสรณคือทางออกอุบายอันเป็นเครื่องออกจากทุกขเวทนา จึงเกิดคำถามว่าทำอย่างไรจึงจะออกจากทุกข์ได้มีพุทธพจน์ตรัสเยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า
ภิกษุ ท ! สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ไม่รู้ชัดตามเป็นจริง
ซึ่ง อัสสาทะแห่งเวทนาทั้งหลายโดยความเป็นอัสสาทะด้วย ซึ่งอาทีนวะโดยความเป็นอาทีนวะด้วย
ซึ่งนิสสรณะโดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้ อยู่ ; สมณะหรือ
พราหมณ์เหล่านั้นน่ะหรือ จักรอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชวน
ผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว ดังนี้นั้น : นั่นไม่เป็นฐานะ
ที่มีได้.
ภิกษุ ท ! ส่วน สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งอัส สาทะ
แห่งเวทนาทั้งหลายโดยความเป็นอัสสาทะด้วย ซึ่งอาทีนวะโดยความเป็นอาทีนวะ
ด้วย ซึ่งนิสสรณะโดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้ อยู่ ; สมณะหรือ
พราหมณ์เหล่านั้นน่ะแหละ จักรอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชวน
ผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว ดังนี้นั้น : นั่นเป็นฐานะที่
มีได้.
หลักการของพระพุทธศาสนาถือหลักปฏิบัตินั้นสำคัญ การศึกษาพระพุทะศาสนาขาดการปฏิบัติไม่ได้ หากขาดการปฏิบัติย่อมไม่สามารถเข้าถึงหัวใจของพระพุทะศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็ได้ประกาศหลักนี้แก่ชาวโลก เพื่ออนุเคราะห์ประโยชน์สุขแก่ชาวโลกโดยทั่วกัน
หลักของศีล สมาธิ ปัญญาล้วนเป็นหลักเพื่อขจัดความทุกข์ พระพุทธเจ้าเรียกการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์นี้ว่า “พรหมจรรย์” ผู้ปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญานี้จึงเรียกว่าผู้ประพฤติพรหมจรรย์ การปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์สิ้นทุกข์ทั้งปวง การดับทุกข์ได้พระพุทะศาสนาถือว่าเป็นยอดสุขทั้งปวง นิพพานํ ปรมํ สุขํ
ขอให้เราเข้าใจว่าการปฏิบัติที่ถูกต้องเท่านั้นจึงจะเป็นแนวทางให้เราเข้าถึงประโยชน์ของชีวิตได้ เราลองพิจารณาตัวเราเองเถิดว่าได้ประพฤติปฏิบัติตามมัชฌิมปฏิปทาไหม ปฏิบัติถูกหรือไม่ ชีวิตเราวุ่นวายอยู่ไม่สงบอย่างนี้เพราะอะไรรู้สาเหตุแล้วก็พึงเว้นเหตุนั้นน้อมเอาอริยมรรคไปปฏิบัติ ถ้าเราพากันห่างธรรมความสุขก็หายากไม่บังเกิด การปฏิบัติสมควรแก่ธรรมนี้แลคือหนทางที่จะดับทุกข์ได้
ไม่ต้องพิจารณาสิง่อื่นสิ่งไหนไกล ความเห็นความเป็นต่างๆที่เกิดขึ้น เราเคยได้ยกขึ้นสู่ใจมาพิจารณากันไหม พิจาราตามความเป็นจริงหรือไม่ ความโลก ความโกรธ ความหลง ความเกิดอย่างนี้ ความแก่อย่างนี้ ความตายอยงนี้ ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย มันอยู่ที่เรา พิจารณาทุกข์คือพิจารราสิ่งที่มันเกิดขึ้น สังเกตไม่ชอบบ้าง ชอบบ้างมันเป็นอย่างไร ไม่เคยพิจารณาความตายว่าชีวิตนั้นสั้นนัก ความตายนี้จักมีแก่เราแก่ลูก แก่หลานเราเห็นดังนี้จึงเห็นความตายเป็นธรรมดาเป็นความจริงแปรเป็นอื่นไม่ได้ เห็นความแก่ในตัว เห็นอนิจจํ สติก็จักเกิดขึ้นทำให้เราสามารถกั้นความหลงได้ ตื่นจากความหลงในกามได้ ลุกขึ้นมาทำความเพียรปฏิบัติกุศลกรรทำประโยชน์สุขได้สมบรูณ์
การที่เรายังไม่เข้าใจธรรมการปฏิบัติตามธรรมจึงไม่ถูกหนักกว่านี้คือคนที่ไม่พยายามเข้าใจเลยอย่างนี้เรียกว่าห่างไกลกันมาก
เรานี้เป็นชาวพุทธนับถือพระพุทธเจ้าแล้วการปฏิบัติตามคำสอนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ศีลธรรมนี้ละไม่ได้วางไม่ได้ต้องยึดไว้ ปฏิบัติกันให้มากเพิ่มพูนให้ยิ่งขึ้นไป หมั่นสำรวจตัวเองอยู่เสมอแล้วจะรู้ว่าเราขาดอะไรควรเพิ่มอันไหน ควรรักษาอันไหนให้เจริญยิ่งขึ้นไป ศีลที่ขาดไปด่างพล้อยไปก็จักได้สำรวมมากขึ้น อย่างนี้เรียกว่ารู้จักฉลาดในการปฏิบัติ ความเจริญก็จักเกิดขึ้นในพระศาสนา
วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคนไทยต้องได้ปัญญา
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคนไทยต้องได้ปัญญา
ระยะเวลา ๕ ปีที่ผ่านมาประเทศไทยนั้นผ่านเหตุการณ์ต่างๆมามากมาย สิ่งที่เราไม่เคยเห็นก็ได้เห็น ไม่เคยได้สัมผัสก็ได้สัมผัสรับรู้ แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชนควรที่จะได้คิดพิจารณาในเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ในบ้านเมืองของเราหรือต่างประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ได้บอกให้เราไปเก็บสิ่งไม่ดีมาคิดให้ปวดสมอง
คำถามจึงเกิดขึ้นว่าเราควรจะทำอย่างไร
ในทางพระพุทธศาสนาเวลาสอนให้คนมองโลกไม่ได้บอกให้มองโลกในแง่ดีด้านเดียวหรือในด้านใดด้านหนึ่ง คนเราเกิดมาแล้วมีสุขมีทุกข์เหมือนกันหัวเราะร้องไห้ในเรื่องเหมือนกันๆไม่มีใครต่างกันในเรื่องของกิเลสทุกสิ่งทุกอย่างถูกพลักดันด้วยความอยากคือตัณหา
เวลาเราทุกข์เรามีวิธีการแก้ปัญหาอย่างไรพระพุทธเจ้าได้เคยเปรียบเทียบให้สาวกฟังว่าถ้ามีคนมาจุดไฟที่หัวสิ่งที่ควรทำก่อนอย่างแรกคือทำใจก่อนถ้าหากเป็นเราท่านทั้งหลายก็จะหาทางดับไฟเอาน้ำเอาอะไรมาดับแต่พระพุทธเจ้าบอกสาวกว่าก่อนอื่นเลยให้ดับใจก่อน
เราจึงเห็นวิธีการแก้ปัญหาที่ต่างกันไปของคน บางทีก็ตัดสินใจชั่ววูบเดียวบางคนก็ผ่านปัญหาไปได้สะดวกสบาย บางคนก็ต้องใช้เวลาสักหน่อย ทำไมจึงต้องบอกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคนไทยควรได้ปัญญาเพราะเมื่อเวลามีปัญหาต้องใช้ปัญญาแก้ เวลาเราใช้อารมณ์ในการตัดสินใจทำอะไรบางอย่างผลสะท้อนกลับออกมาเป็นอย่างไร เราต้องการให้ลูกน้องทำงานแต่เวลาประชุมด่าเอาๆความดีไม่มีปรากฏเลยหรือบางทีใช้แต่วาจารุนแรง คนงานหมดกำลังใจทำงานหรือบางทีก็ทำด้วยความกลัวกลายเป็นเกิดภาวะความเครียดกันทั้งบริษัท
ปัญญาคือความรอบรู้นั้นคือรู้แล้วต้องทำถูกด้วยถ้าบอกว่าผมรู้แล้วไม่ต้องบอกแต่อดไม่ได้นี้ไม่ใช่ปัญญาอันนี้เป็นมูลโมหะอวิชชาขั้นทึบเลยนะ เพราะรู้แล้วแต่แก้ทุกข์ให้ตัวเองไม่ได้ ฉะนั้นปัญญาคือสิ่งที่รู้รอบโดยแจ้งชัดแล้วสามารถที่จะแก้ปัญหาให้แก่ตัวเองได้
เราผ่านอะไรมาบ้างประเทศไทยผ่านเหตุการณ์ที่อาจเรียกได้ว่าวิกฤติ บางคนอาจจะบอกว่าเป็นพัฒนาการของสังคม อาตมาว่าถ้าหากเราจะมีพัฒนาการถึงขั้นที่เรียกว่าความเจริญทำไมคนพูดกันไม่รู้เรื่อง พุทธศาสนิกชนจึงอย่าได้ละเลยปัญหานี้จึงสมควรที่จะได้หยิบยกขึ้นมาพิจารณาไม่ว่าจะเป็นปัญหาสังคม เศรษฐกิจ หรือปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเรา
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นพระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้มองโลกเอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ ถ้าหากเรามาศึกษาคำสอนของพระพุทธศาสนาถ้าเราศึกษาไม่คลอบคลุมก็จะมองว่าพระพุทะศาสนานี้สอนให้คนเป็นทุกข์มองโลกในแง่ร้ายเหมือนที่ชาวตะวันตกมองพระพุทะศาสนาในยุคต้นๆการมองโลกการมองความเป็นไปในโลกพระพุทธเจ้าสอนสาวกให้รู้แจ้งชัดตามเหตุปัจจัยไม่ให้เอาความคิดเราไปยึดติดไปบอกว่าไม่ให้มันเป็นไม่ให้มันเกิดขึ้นอันนี้ไม่ใช่และไม่ควรที่พุทธศาสนิกชนจะเข้าใจอย่างนั้น สิ่งที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่พุทะบริษัทให้เข้าใจคือความจริงของโลกที่เรียกว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ คือมองโลกตามความเป็นจริง ถ้ามันจะเกิดขึ้นมันก็มีเหตุให้เกิดขึ้นถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะดับลงไปก็ดับเพราะเหตุนั้นดับลง
ถ้าเราเห็นรับรู้ตามความจริงเราไม่ได้เอาความอยากมีอยากเป็นของเราไปกำหนด ความยินดียินร้ายต่อสิ่งทั้งหลายก็ไม่มี นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ ความสงบเกิดขึ้นอยู่ที่ไหนก็มีความสงบเพราะใจเราสงบแล้ว
เราจะแก้ปัญหาความแตกสามัคคีเราต้องเห็นว่าโทษของความไม่ลงรอยกันก่อนว่าอะไรคือโทษของความไม่สามัคคี มดทำรังช่วยกันทำไม่เกี่ยงกัน เวลามีปัญหาเรียนหน้ากันมาสู้ตัวเล็กแต่ใจใหญ่ใครมารังควานรังไม่ได้ ตอนเด็กๆที่เราชอบไปแหย่รังมันเล่น มดตัวเล็กๆนี้ละกรูเข้ามาช่วยกัน ถึงแม้ว่ามันจะสู้เราไม่ได้แต่มันก็ทำให้เราเจ็บแสบได้เหมือนกัน มีพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า
ปเร จ น วิชานนฺติ
มยเมตฺถ ยมามฺหเส
เย จํ ตตฺถ วิชานนฺติ
ตโต สมฺมนฺติ เมธคา
คนพวกอื่นไม่รู้ดอกว่า เราทั้งหลายย่อยยับอยู่ (เพราะการทะเลาะวิวาทกัน) ส่วนพวกใดรู้เห็นโทษของการทะเลาะวิวาท ความหมายมั่นซึ่งกันและกันก็ย่อมระงับลง
ที่ไหนเกิดความแตกแยกกันย่อมหาความสุขสบายได้ยากเราจึงต้องเห็นโทษของความไม่สมัครสมานสามัคคีเพราะให้โทษแต่ฝ่ายเดียวไม่มีคุณเลย แล้วคนมีความรู้เขาถกเถียงกันไหมเขาก็ว่ากันนะแต่ไม่ได้ด่ากันใส่ร้ายกัน อย่างพระพุทธเจ้าเราเวลามีเจ้าลัทธิเจ้าศาสดาถกปัญหาหรือเวลาเขาด่าเขาว่าพระพุทธเจ้าไม่โกรธไม่ว่าผู้นั้นเลย เพราะพุทธเจ้าเห็นโทษของการทะเลาะวิวาทว่าเป็นภัย เราจะอยู่อย่างไรให้มีความสุขในยามที่เศรษฐกิจถดถอย ในยามที่ชีวิตเดินอยู่ในวังวนของปัญหาหาทางออกไม่ได้ มองไปไหนมืดไปหมด สติ สมาธิ ปัญญานี้จึงสำคัญ เกิดอะไรขึ้นต้องตามรู้ดูให้เห็นไม่อย่างนั้นจะนอนเป็นทุกข์ นอนบนเตียงนุ่มๆตากแอก็ไม่สบายถ้าใจมันกระวนกระวาย บินลัดฟ้าไปเที่ยวถึงยุโรปตั้งใจว่าจะไปหาความสุขกันก็ไม่มีความสุขถ้าใจมันรั่ว
ความสุขมันจึงอยู่ที่ตัวเราและเราจะมีความสุขได้ก็เพราะมีปัญญา ปัญญาตัวนี้เกิดจากการมองโลกตามความเป็นจริง เห็นคุณและโทษอย่างแจ้งชัดความโลภเกิดขึ้นถ้ามีปัญญาก็จะเห็นว่าความอยากได้ของผู้อื่นไม่ใช่ของตนหรือที่มันอยากมากเกินไปจนต้องตะเกียกตะกายหาเอามาจนได้ทุกวิถีทางบางทีได้มาโดยทุจริตมันจะก่อโทษแก่ตัวเรา เมื่อเรามีปัญญาเห็นภัยที่จะเกิดขึ้นความอยากได้ซึ่งของอันเจ้าของมิได้ให้นั้นก็จักหายไปเกิดเป็นผู้มีเทวธรรมคือหิริความละอายแก่ใจ โอตตัปปะความเกรงกลัวต่อผลของบาป ทำให้เราเป็นผู้มีศีลสมบรูณ์ เมื่อเราเป็นผู้ยังศีลของตนให้บริบูรณ์ความสุขจากการไม่มีการเบียดเบียน เราไม่ได้เป็นผู้เบียดเบียน ผู้อื่นก็ไม่ได้มาจองล้างจองเวรเรา ความสบายผาสุกก็เกิดขึ้น นั่นก็คือคำตอบว่าอยู่อย่างไรให้มีความสุข
เราจะแสวงหาความสุขกันที่ไหน ถ้าไม่ค้นหาที่ตัวเรา มีพระราชาเมืองหนึ่ง พระองค์มีความทุกข์มากปกครองบ้านเมืองมามีปัญหามากมายเหลือเกิน ไม่มีความสุข หันไปถามนายกรัฐมนตรีว่ามีความสุขไหมได้ตำแหน่งนายกมาใหม่ๆสงสัยจะมีความสุข ขอหน่อยมีไหม นายกก็บอกว่า เป็นนายกก็ไม่มีความสุขเลยพระเจ้าข้า ไม่รู้ว่าจะโดนประท้วงเมื่อไหร่ ค่าแรง ๓๐๐ จะทำได้ไหม ปัญญาหาเยอะเหลือเกิน พระราชาหันไปมองนักธุรกิจ นักธุรกิจก็บอกว่าไม่มีความสุขพระเจ้าข้า ตอนนี้หุ้นวิ่งขึ้นวิ่งลง ไม่รู้ว่าจะติดลบหรือจะบวก รอลุ้นอยู่ยังไม่มีความสุขพระเจ้าข้า พระราชานี้ยังไม่หมดหวังซะทีเดียว พระองค์ได้ยินมาว่าในโลกนี้มีเสื้อแห่งความสุข พระองค์จึงได้ตั้งให้อำมาตย์พาทหารออกตามล่าหาความสุข เพราะเขาล่ำลือกันว่ามีเสื้อตัวหนึ่งใครได้สวมใส่แล้วจะมีความสุข เหล่าอำมาตย์หาอย่างไรก็หาไม่เจอ หมดหวังแล้ว วันหนึ่งไปเจอคนขอทาน นั่งอยู่ปากก็ร้องบอกว่า สุขจริงหนอๆๆ พวกทหารก็เข้าไปถามว่าท่านนี้ก็เป็นคนยากจนทำไมบอกว่าสุขจริงหนอๆทหารก็เอาเรื่องนี้ไปเล่าถวายให้พระราชาฟังพระราชาได้ฟังก็เข้าใจว่า ความสุขไม่ได้อยู่ที่เสื้อ ไม่ได้สำคัญว่าเรามีเงินทองมากมายล้นฟ้า มันอยู่ที่ใจเรานี้เอง
“ความสุขและทุกข์มีอยู่คู่กับโลก
จะย้ายโยกไปแห่งหนตำบลไหน
จะสุขบ้างทุกข์บ้างช่างเป็นไร
จะทำใจให้เศร้าไม่เข้าการ”
ถ้าเรากำลังจะมองหาความสุขอย่าไปคาดหวังเลยอนาคตมากนักเพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เงินจะออกสิ้นเดือนนี้จะใช้ให้คุ้มสุดๆอย่างนี้เรียกได้ว่าตั้งอยู่ในความประมาท แค่เราใช้เวลาในปัจจุบันใช้ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์มีปัญญาเห็นเหตุเสื่อมเหตุของความเจริญความสุขมันก็อยู่กับเราเป็นของเรา ชีวิตเราก็จะมีแต่ความสุข เพราะเราตอบไม่ได้หรอกว่าเราเรียนจบแล้วเราจะมีความสุข เราเป็นดร.เราจะมีความสุข ปัจจุบันจึงสำคัญที่สุด ปัจจุบันที่ใจ เปรียบเหมือนการเดินทางขึ้นเขาสูงๆเราก็ตั้งใจว่าจะไปชมวิวบนยอดดอยใจเราก็ตั้งหน้าตั้งตาเดิน นึกถึงแต่ยอดดอย คนที่เดินไปด้วยกันไม่ด้วยพูดได้คุยกัน บางทีเราตั้งใจมากไม่พักเลยเห็นคนอื่นนักพักนั่งคุยกันก็ไม่ยอมหยุดเดินก้มหน้าเดินอย่างเดียว คนอื่นเขาหยุดทักทายกันบ้างแบ่งน้ำแบ่งอาหารให้กันบ้าง เขาก็มีความสุขด้วยกันเผื่อแผ่กัน แต่เรากลับรู้สึกเหนื่อยมากเราลืมดูความสวยงามระหว่างข้างทางเดินขึ้นบนยอดเขาว่ามีอะไรบ้าง ความสุขมันก็อยู่ที่เราความทุกข์มันก็อยู่ที่เรา ทั้งสุขทั้งทุกข์เราเป็นคนรับรู้เองหมด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนทำใจของเราให้เป็นสุขๆอย่าทำสิ่งที่จะก่อเวรเป็นภัยให้ตัวเองและผู้อื่น เช่นนี้ความสุขในชีวิตความสุขในการอยู่ร่วมกันก็เกิดขึ้นได้
คนทั้งหลายต้องการความสุข วิธีแสวงหาความสุข
คนทั้งหลายต้องการความสุข วิธีแสวงหาความสุข
ชาวพุทธเราได้ยินได้ฟังอยู่เสมอว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เป็นคำสอนขั้นต้นๆเรียกว่าเป็นความเชื่อพื้นฐานของชาวพุทธ คำสอนเรื่องกรรมและผลของกรรมในคติของชาวพุทธไม่ใช่เรื่องงมงายมีความสำคัญอย่างมากต่อพื้นฐานความคิดและการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน เวลาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงสั่งสอนอะไรพระองค์จะชี้แจงแสดงเหตุผลให้แก่สาวกของพระองค์อยู่เสมอ บางเรื่องเข้าใจผิดพระองค์ก็นำมาปรับปรุงใหม่ชี้แนะแนวทางการปฏิบัติใหม่ ดังตัวอย่างของมานพคนหนึ่งหลังจากที่บิดามารดาล่วงลับไปได้สั่งเสียลูกชายว่าถ้าวันไหนที่แม่ไม่อยู่ให้ลูกบูชาทิศทั้งหลายถ้าทำได้อย่างนี้ลูกจะมีแต่ความสุขความเจริญ ลูกชายพอแม่สิ้นใจไปก็ทำตามคำสั่งสอนด้วยกตัญญู ทุกเช้าทุกเย็นก็จะออกมากราบไหว้ทิศทั้งหลายก่อนออกจากบ้าน ก่อนไปทำงานก็จะกราบไหว้ทิศต่างๆตามคำสั่งสอนของแม่ วันหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จผ่านมาเห็นกิริยาอาการของมานพหนุ่มนั้นก็ได้มีเมตตาแสดงธรรมชี้แจงเหตุผลให้ฟังจึงปรากฏเป็นพระธรรมเทศนาเรื่องทิศ ๖ ในสิงคาลกสูตร เมื่อมานพได้ฟังก็เข้าใจ จึงเลิกเปลี่ยนวิธีที่ตัวเองทำอยู่อย่างปกติเห็นเป็นเรื่องงมงายหันมากระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงกว่า จากเรื่องนี้ย่อมจะเห็นว่าพระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เรางมงาย พระพุทธเจ้าสอนเรื่องกรรมไม่ได้สอนให้เรางมงมงายแต่สอนให้เราปฏิบัติตัวเองให้ถูกต้อง เพราะคนเราต้องการความสุขความเจริญเข้ามาในชีวิต แต่กระทำสิ่งที่ไม่ได้นำความเจริญความสุขเข้ามาก็หาความสุขไม่เจอความเจริญในชีวิตก็ไม่เกิดขึ้น
พระพุทธศาสนาไม่ใช่ทฤษฎีทางความคิดแต่พระพุทธศาสนาครอบคลุมไปถึงวิถีชีวิตที่เรียกว่า การดำรงชีวิต way of life ฉะนั้น คนที่เข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนาเฉพาะส่วนคำสอนไม่นำไปปฏิบัติจึงได้ชื่อวาไม่เข้าถึงพระพุทธศาสนาไม่ได้ชื่อว่าพุทธศาสนิกชนอย่างแท้จริง
ศรัทธาในทางพระพุทธศาสนามีสี่อย่าง คือ
กัมมสัทธา เชื่อกรรม เชื่อกฎแห่งกรรม เชื่อว่ากรรมมีอยู่จริง คือ เชื่อว่า เมื่อทำอะไรโดยมีเจตนา คือ จงใจทำทั้งรู้ ย่อมเป็นกรรม คือ เป็นความชั่วความดีมีขึ้นในตน เป็นเหตุปัจจัยก่อให้เกิดผลดีผลร้ายสืบเนื่องต่อไป การกระทำไม่ว่างเปล่า และเชื่อว่าผลที่ต้องการ จะสำเร็จได้ด้วยการกระทำ มิใช่ด้วยอ้อนวอนหรือนอนคอยโชค เป็นต้น
วิปากสัทธา เชื่อวิบาก เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าผลของกรรมมีจริง คือ เชื่อว่ากรรมที่ทำแล้วย่อมมีผล และผลต้องมีเหตุ ผลดีเกิดจากกรรมดี ผลชั่วเกิดจากกรรมชั่ว
กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน เชื่อว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของ จะต้องรับผิดชอบเสวยวิบาก เป็นไปตามกรรมของตน
ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มั่นใจในองค์พระตถาคต ว่าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงพระคุณทั้ง ๙ ประการ ตรัสธรรม บัญญัติวินัยไว้ด้วยดี ทรงเป็นผู้นำทางที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ คือเราทุกคนนี้ หากฝึกตนด้วยดีก็สามารถเข้าถึงภูมิธรรมสูงสุด บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ดังที่พระองค์ทรงบำเพ็ญไว้
พระพุทธศาสนามีหลักคำสอนที่ชี้แนะแนวทางให้พุทธศาสนิกชนนำไปปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายในสังสารวัฏ การกระทำคือตัวชี้วัดความสุขในชีวิตของเราอธิบายว่ากรรมที่เราทำไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมเป็นเหตุถ้าเราทำกุศลกรรมก็จะได้รับผลคือความสุข เช่นเดียวกันถ้าเราทำอกุศลกรรมก็จะได้รับผลคือความทุกข์ ธรรมดาว่าคนเรารักสุขเกลียดทุกข์จึงต้องแสวงหาความสุขมาใส่ตัว ความสุขที่เราเพียรหากันมาเสพเสวยนี้ได้มาอย่างไร บางคนก็ได้ทรัพย์มาจากการทุจริตคดโกง บางคนก็ได้มาจากหน้าที่การงาน คนที่ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ก็ถือว่าได้มาเพราะความขยันหมั่นเพียรเป็นที่น่าอนุโมทนา แต่บางคนได้มาจากการเบียดเบียนผู้อื่นอย่างนี้ชื่อว่าแสวงหาความสุขในทางที่ผิด เมื่อถึงกาลที่กรรมให้ผลย่อมจะร้อนทุรนทุรายกินอยู่ไม่ได้ จึงไม่มีความสุข ดังนั้นทางแห่งความสุขของชาวพุทธก็คือก็คือการแสวงหาปัจจัยการดำรงชีพด้วยความสุจริตอันนี้ก็คือเราประพฤติธรรมนั่นเอง ถ้าเรารักสุขเกลียดทุกข์ต้องทำตัวให้ห่างไกลความเสื่อมที่จะนำพาชีวิตเราไปตกอบายขั้นต่ำ การจะพบความสุขในชีวิตอย่างง่ายๆของชาวพุทธเราก็คือละเว้นเหตุของความเสื่อม ถ้าละเว้นเหตุของความเสื่อมนี้ได้ชีวิตเราก็จะเจริญรุ่งเรือง เพราะเราไปมัวยุ่งกับความเสื่อมนี้ชีวิตเราจึงมัวหมองไม่ผ่องใสท่านพุทธทาสได้เขียนกลอนท่านบทหนึ่งไว้ว่า
“สมัยนี้โลกกล้าอย่างป่าเถื่อน
จะรวบเดือนดาวใสในกระเป๋า”
เห็นจะจริงดังท่านว่าไว้คนเราอยากได้อะไรมากมาย จะเอาดาวเอาเดือนมาใส่ไว้ในกระเป๋า ไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดี โกงเขามาอย่างนี้ ทำร้ายเขามาอย่างนี้สุดท้ายมันก็ไม่เป็นสุขแสดงว่าวิธีที่ทำมาไม่ใช่หนทางแห่งความสุข หนทางแห่งความสุขของชาวพุทธคือมัชฌิมปฏิปทา คนเราต้องการความสุขกันทุกคนแต่แสวงหาความสุขไม่ถูกวิธีจึงไม่พบความสุข เหมือกับเราจะเดินไปเชียงใหม่ทางที่จะไปอยู่ทางเหนือเราเดินไปทางทิศตะวันออก เดินจนขาหักก็หาก็ไปไม่ถึง เช่นกันทางแห่งความสุขนี้มีอยู่แล้วเราไม่เดินไปตามทางนั้นไปเดินทางคนละเส้นก็หาความสุขไม่เจอ เรามาเจอหน้ากันถามกันว่านายมีความสุขไหม เธอมีความสุขไหม ก็ตอบกันอย่างหน้าชื่นอกตรม ไอ้เราเห็นว่าที่ทำกันดูท่าเขาจะมีความสุขแต่พอได้รับรู้สัมผัสทำไมมันร้อนขึ้นมาอยู่ไม่ได้ พอเจอกันอีกก็คุยกันว่าทางไปหาความสุขอยู่ที่ไหน ก็ชี้กันไปว่า นั่นไงเห็นว่ามีคนไปเจอนะ เขาว่าเป็นพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่าอย่างนี้นะ ปลงนะ วางนะ ทำหน้างงเป็นลิงส่องแว่น ทำไม่เป็นทำอย่างไรหว่า ถามว่าทุกวันนี้เราเดินทางตามข้อปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าสอนไหม ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติตามถือว่าเราห่างไกลนะ ห่างจนไม่รู้ว่าจะชื่อมหากันอย่างไร ฉะนั้น ขอให้เราหยุดปิดอบายเสียแต่ตอนนี้เลย
เรานั้นประกาสตนเป็นพุทธศาสนิกชนย่อมรู้แล้วว่าอะไรคือทางแห่งความสุขอะไรคือทางแห่งความเสื่อม พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านตรัสไว้แสดงไว้ซึ่งธรรมอันประเสริฐ ใครปฏิบัติได้ย่อมรู้ย่อมเห็นสมควรตามที่ท่านได้แสดงไว้ อะไรที่รู้ที่ทำผิดไปก็ละ เลิก ทิ้งเสีย อย่าไปข้องแวะอีก เราเป็นผู้ฉลาดต้องแยกแยะธรรมที่เป็นเหตุดีเหตุเสื่อมได้ ประโยชน์อะไรที่ควรประกอบไว้ในปัจจุบันก็ให้หาให้ขวนขวายใส่ตัว ประโยชน์อันใดที่จะส่งเสริมตัวเองให้เจริญในอนาคตก็ให้รีบทำ ถ้าเรามัวประมาทไม่ประพฤติปฏิบัติกันธรรมที่สมควรได้ก็ไม่ได้ ความเจริญในคุณงามความดีในพระศาสนาก็ไม่เกิดแก่เรา ความสุขมรรคผลนิพพานก็ไม่เกิดมีแก่เรา
พระพุทธเจ้าบอกให้หาความสุขอย่างไร สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย การสั่งสมบุญนำสุขมาให้ อะไรที่เป็นบุญเป็นกุศลให้เราขยันทำอะไรที่เป็นอกุศลให้เราขยันละ ขยันเลิกไป อย่าหาไฟมาสุมตัวเอง
อาตมาคุยกับโยมคนหนึ่ง โยมคนนั้นบอกว่าที่ผมมีความสุขทุกวันนี้เพราะผมยึดเอาอักษร ๓ ตัวมาใช้ อักษร ๓ ตัวนั้นคือ พ ห ช โยมคนนั้นถามหลวงพี่ว่าหลวงพี่รู้ไหมว่าแปลว่าอะไร อาตมาตอบว่าไม่ทราบ โยก็เลยบอกว่า
“พ” นี้คือรู้จักพอ อาตมาก็นึกถึงพุทธภาษิตตรัสว่า สนฺตุฏฐี ปรมํ ธนํ ความรู้จักพอเป็นยอดทรัพย์ คนรวยหรือจนบางทีอยู่ที่ความรู้สึก ถ้าเรารู้สึกขาดประจำทั้งๆที่มีพอกินพอใช้อยู่แล้วนะแต่ยังอยากได้อีก เห็นเขามีอยากจะมีอย่างเขาอย่างนี้เขาเรียกคนไม่รู้จักพอ จึงจนอยู่ตลอด
ความไม่พอใจจนเป็นคนเข็ญ
พอแล้วเป็นเศรษฐีมหาศาล
จนทั้งนอกจนทั้งในไม่ได้การ
ต้องคิดอ่านแก้จนเป็นคนพอ
ห คือ รู้จักให้ สังคมเราอยู่ได้เพราะมีการให้ ประเทศชาติเราต้องการคนดีเสียสละเพื่อบ้านเมือง ถ้าคนที่ไปทำงานหวังประโยชน์ส่วนตัวอะไรๆก็จะเอา ทุกคนคิดแต่ได้ประเทศก็ไปไม่รอด ทุกคนจึงต้องรู้จักให้กัน อยู่ด้วยกันมีปากมีเสียงบ้างให้อภัยกัน ยอมรับผิดกัน ไม่ว่าร้ายไม่ทำร้ายอย่างนี้เราก็อยู่กันได้ไม่ต้องกังวล ให้ความรักความเมตตาต่อกัน คนเราอาศัยกันจึงต้องปฏิบัติต่อกันด้วยความมีเมตตาท่านจึงบอกว่า เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เพราะคนเรายังมีการให้มีเมตตากันจึงไม่จับมีดจับปืนลุกขึ้นฆ่ากัน ที่เรายังอยู่เป้นสุขทุกวันนี้เพราะเรายังไม่ขาดธรรมข้อนี้เอง ดังนั้นถ้าเราอยากอยู่อย่างสบายต้องให้เมตตาแก่กัน กล่าวต่อกันด้วยเมตตา กระทำต่อกันด้วยเมตตา คิดต่อกันด้วยเมตตา สังคมก็อยู่ต่อไปได้
ช สุดท้ายคือช่างเถิด อันนี้ถือว่าสุดยอดเลย อะไรบ้างที่เกิดขึ้นกับเราเราเก็บมันมาไว้ไม่ได้ปล่อยออกไปเลยมันเลยเป็นทุกข์ เจอรถติดนั่งอยู่ในรถใจกระวนกระวายโทษรัฐบาล โทษคนขับ มองไปไหนมีแต่ปัญหา คำว่าช่างเถิดนี้สอนให้เรารู้จักปล่อยวางอย่างหนึ่งเป็นวิธีทำใจที่ได้ผล ล่าสุดนี้เห็นข่าวมาว่า ไปเติมน้ำมัน พอพูดไม่ถูกใจกันเท่านั้น ชักปืนมายิงกัน หลวงพ่อชา ท่าจึงบอกว่า เวลาโกรธโมโหขึ้นมา ดอกเตอร์หรือป.๔ก็โง่พอๆกันอะไรที่วางได้ก็หัดวางลงไปคำสรรเสริญนินทาก็อย่าไปจับไปถือเอามายึดเพราะสิ่งนี้เป็นโลกธรรมมีเสื่อมไป ไม่แน่นอน สมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ อาสภมหาเถร )ท่านได้ประพันธ์กลอนบทหนึ่งไว้ว่า
ใครชอบใครชังช่างเถิด
ใครเชิดใครชูช่างเขา
ใครด่าใครบ่นทนเอา
ใจเราร่มเย็นเป็นพอ
เราเป็นชาวพุทธต้องมีปัญญาความสุขมันอยู่ไม่ไกลนักหรอก ปัจจุบันนี้คือโมงยามแห่งความสุข เราต้องมีสติรู้ทัน ความสุขมันซ่อนอยู่ที่ไหนมันอยู่ที่ใจเรา เราไปตามหาที่คนอื่นก็ไม่เจอ ไปหาที่เกาหลีก็ไม่เจอ ยิ่งถ้าเราเดินทางคนละเส้นกับความสุขแล้วยิ่งออกห่างจากความสุข สังเกตที่เราว่าเราเริ่มออกหากจากความสุขหรือยัง เราใส่ใจดูแลตัวเองไหม ชำระอกุศลในใจเราไหม ออกหากจากพระธรรมไหม น้อมนำธรรมะมาปฏิบัติไหม เราสร้างความดีใส่ตัวใหม่ความสุขเราเป็นคนเดินเข้าหาความทุกข์เราก็เป็นคนเดินเข้าหา เราจะเดินเข้าหาความทุกข์หรือความสุข
ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมอันบุคคล
ประพฤติดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรม
อันบุคคลประพฤติดีแล้ว ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่ไปสู่
ทุคติ สภาพทั้งสองคือ ธรรมและอธรรม ย่อมมีวิบาก
ไม่เสนอกัน อธรรมย่อมนำไปสู่นรก ธรรมย่อมนำให้ถึง
สุคติ เพราะฉะนั้นแหละ บุคคลเมื่อบันเทิงอยู่ด้วยการ
ให้โอวาทที่พระตถาคตผู้คงที่ตรัสไว้อย่างนี้ ควรทำความ
พอใจในธรรมทั้งหลาย เพราะพระสาวกทั้งหลายของ
พระตถาคตผู้ประเสริฐ เป็นนักปราชญ์ ตั้งอยู่แล้วใน
ธรรม นับถือธรรมว่าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐสุด ย่อมนำตน
ให้พ้นจากทุกข์ได้ ผู้ใดกำจัดรากเหง้าแห่งหัวฝี ถอนข่าย
คือตัณหาได้แล้ว ผู้นั้นเป็นผู้สิ้นสงสาร ไม่มีกิเลสเครื่อง
กังวลอีก เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญปราศจากโทษ
ฉะนั้น.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)